วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การ์ตูน โค่ดมันส์อ่ะ เชื่อดิ!!

BLEACH เทพมรณะ

             

            

bleach

 

เทพมรณะ หรือ บลีช (ญี่ปุ่น: ブリーチ Burīchi ในชื่ออังกฤษว่า Bleach ?) เป็นผลงานการ์ตูนญี่ปุ่นของคุโบะ ไทเทะ ซึ่งในขณะนี้ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2544 ส่วนในประเทศไทยนั้น บลีชกำลังถูกตีพิมพ์ในนิตยสารบูม โดยมีสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์เป็นผู้ถือลิขสิทธิ์
เทพ มรณะเป็นเรื่องของ คุโรซากิ อิจิโกะ นักเรียนมัธยมปลายอายุ 15 ปีผู้มีความสามารถมองเห็นวิญญาณ อิจิโกะได้พบกับยมทูตหญิงชื่อ คุจิกิ ลูเคีย ในขณะที่เธอกำลังตามล่าฮอลโลว์ตนหนึ่ง ลูเคียเสียท่าให้กับฮอลโลว์ตนนั้นจึงจำเป็นต้องถ่ายทอดพลังของยมทูตให้กับอิ จิโกะ นับจากนั้นอิจิโกะจึงต้องทำหน้าที่ยมทูตแทนลูเคียจนกว่าพลังของเธอจะกลับมา
นอก จากนี้เทพมรณะได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูน สองอะนิเมะโอวีเอ สามภาพยนตร์ ละครเพลง วีดีโอเกม และการ์ดเกม โดยภาพยนตร์การ์ตูนออกอากาศทางสถานีทีวีโตเกียว ในเมืองไทยฉายที่ช่อง ทรู สปาร์ค และลิขสิทธิ์ดีวีดีและวีซีดีในประเทศไทยโดย โรส มิเดีย เอ็นเตอร์เทนเมนต์

 

 

โฉมหน้าพระอก-นางเอก

 

 

-ว่ากัน ด้วยเนื้อเรื่อง

 

bleach411di8

 

ภาคสู่ดินแดนทูตมรณะ

             เด็กหนุ่มธรรมดาที่มี พลังมองเห็นวิญญาน ที่มีชื่อว่า คุโรซากิ อิจิโกะ ได้พบกับยมทูตหญิงคนนั่นคือ คุจิกิ ลูเคีย แต่ด้วยความสามารถนั้น ทำให้คุจิกิ ลูเคีย เข้าใจผิดและจับตัวไว้หลักจากนั้น ฮอลโลว์ก็บุกมาที่บ้านของอิจิ โกะและได้เล่นงานคนในบ้านจนบาดเจ็บสาหัส ลูเคียได้เอาตัวเข้ารับการโจมตีของฮอลโลว์แทนอิจิโกะจนบาดเจ็บปางตาย ทางเดียวที่จะช่วยเหลือทุกคนได้นั่นก็คือให้อิจิโกะเป็นตัวแทนให้กับคุจิกิ ลูเคีย ทำให้ลูเคียไม่มีพลังพอที่จะกลับไปที่โซลโซไซตี้ ต้องใช้ชีวิตเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายร่วมกับอิจิโกะ
            โซลโซไซตี้ได้ทำ การค้นหา คุจิกิ ลูเคีย ที่หายตัวไปในโลกมนุษย์ จึงส่งยมทูตไปตรวจสอบและพบว่าลูเคียนั้นได้มอบพลังยมทูตของตนให้แก่อิจิโกะ ไปแล้ว ซึ่งตามกฏของโซลโซไซตี้นั้นถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง จึงส่งอาบาราอิ เร็นจิ ซึ่งเป็นรองหัวหน้าหน่วยพิทักษ์หน่วยที่หก และคุจิกิ เบียคุยะซึ่ง เป็นพี่ชายของลูเคียและหัวหน้าหน่วยพิทักษ์หน่วยที่หกคุมตัวลูเคียกลับไปโซ ลโซไซตี้ โดยการสู้ในครั้งนี้ทำให้อิจิโกะบาดเจ็บสาหัส ทำให้อิจิโกะต้องเสียพลังของยมทูตไป แต่อุราฮาร่า คิสึเกะได้ ช่วยชีวิตเอาไว้ และยังได้ฝึกฝนจนอิจิโกะสามารถกลับไปเป็นยมทูตอีกครั้ง แต่นั่นก็ทำให้อิจิโกะเกือบจะกลายเป็นฮอลโลว์ เมื่อฝึกสำเร็จแล้วอิจิโกะจึงพาพรรคพวก ได้แก่ อิชิดะ อุริว,ซาโดะ ยาสึโทระ, อิโนะอุเอะ โอริฮิเมะ และ ชิโฮอิน โยรุอิจิไปช่วยคุจิกิ ลูเคียที่

โซลโซไซตี้

 

ภาคโซลโซไซตี้

          เมื่อไปถึงโซลโซไซตี้ พวกอิจิโกะได้เจอกับคนเฝ้าประตูที่ชื่อ จิดันโบ และต้องต่อสู้กัน โดยจิดันโบพ่ายแพ้ไปแต่แล้ว อิชิมารุ งิน หัวหน้าหน่วยที่สามได้ขับไล่พวกอิจิโกะออกไปจากเซย์เรย์เทย์ โยรุอิจิได้พาพวกอิจิโกะไปยังบ้านของ ชิบะ คุคาคุ เพื่อหาทางเข้าไปยังเซย์เรย์เทย์ โดยได้พาน้องชายของคูคาคุที่ชื่อ ชิบะ กันจู เข้าไปด้วย
           เมื่อไปถึงเซเรย์เทย์ ทุกคนก็ได้แยกย้ายกันไปตามจุดโดยอิจิโกะต้องสู้กับนักสู้ลำดับสาม มาดาราเมะ อิกคาคุ ส่วนกันจูต้องสู้กับ นักสู้ลำดับห้า อายาเสะกาวะ ยูมิจิกะ ซึ่งทั้งสองคนเป็นยมทูตจากหน่วยที่สิบเอ็ด แต่อิจิโกะและกันจูก็เอาชนะมาได้ในที่สุด ในระหว่างทางทั้งสองก็ได้ไปพบ ยามาดะ ฮานาทาโร่ นักสู้ลำดับเจ็ดของหน่วยที่สี่ที่ต้องการจะช่วยลูเคียออกมา แต่ในระหว่างทางที่ไปหอสำนึกผิด ซึ่งเป็นที่ที่ลูเคียถูกขัง พวกอิจิโกะได้ไปเผชิญหน้ากับ อาบาราอิ เร็นจิ รองหัวหน้าหน่วยที่หกจึงได้สู้กัน ผลคืออิจิโกะสามารถเอาชนะแบบสะบักสะบอมแต่ฮานาทาโร่ช่วยรักษาให้
          ในขณะ เดียวกันได้เกิดเหตุการณ์หัวหน้าหน่วยที่ห้า ไอเซ็น โซสึเกะ ได้ถูกฆ่าตาย ทำให้ฮินาโมริ โมโมะ รองหัวหน้าหน่วยที่ห้าที่พบศพเป็นคนแรกขาดสติและต่อสู้กับอิชิมารุ งิน หัวหน้าหน่วยที่สาม แต่ถูกคิระ อิซึรุ รองหัวหน้าหน่วยที่สามขวางเอาไว้จึงเกิดการต่อสู้ขึ้น แต่โชคดีที่หัวหน้าหน่วยที่สิบ ฮิสึกายะ โทชิโร่เข้ามาขวางไว้และจับ สองคนไปกักขังเพื่อสงบสติอารมณ์
ในด้านของแช้ด เขาได้เข้าไปในหน่วยที่แปดและได้จัดการนักสู้ลำดับสาม ในเวลาต่อมาเขาต้องพบกับ เคียวราคุ ซุนซุย หัวหน้าหน่วยที่แปด ซึ่งเขาไม่สามารถที่จะสู้ได้จึงต้องพ่ายแพ้ไปและถูกนำตัวไปขัง ในด้านของอุริว เขาได้เผชิญหน้ากับ คุโรซึจิ มายูริ หัวหน้าหน่วยที่สิบสอง และคุโรซึจิ เนมุรอง หัวหน้าหน่วยที่สิบสอง ซึ่งเขาจำเป็นต้องใช้พลังขั้นสุดยอดแลกกับพลังของการเป็นพรตปราบมาร ทำให้เขาสามารถชนะได้ แต่เมื่อไปถึงหอสำนึกผิดได้พบกับโทเซ็น คานาเมะ หัวหน้าหน่วยที่เก้า ที่ได้มาดักรออยู่แล้ว เนื่องจากร่างกายที่สะบักสะบอมและพลังของเขาที่เพิ่งใช้หมดไป จึงต้องพ่ายแพ้ไปและต้องถูกขังคุกเหมือนกับแช้ด
          ทางด้านของอิจิโกะ กันจู และฮานาทาโร่ เขาต้องเผชิญหน้ากับ หัวหน้าหน่วยที่สิบเอ็ด ซาราคิ เคมปาจิ ซึ่งเขาได้บอกให้ฮานาทาโร่ และกันจูวิ่งหนีไป ส่วนตัวเขานั้นจะสู้เอง อิจิโกะทำการต่อสู้กับเคมปาจิ ซึ่งพลังของเขาไม่สามารถสู้ได้เลย จึงได้ร่วมมือกับซันเงสึทำให้สามารถชนะได้แต่ร่างกายที่สู้ต่อไม่ไหวเขาจึง ต้องนอนอยู่ตรงนั้นต่อไป แต่โชคดีโยรุอิจิมาช่วยรักษาให้จนอิจิโกะหายดี เมื่อหายดีแล้วอิจิโกะก็ได้รีบเร่งไปช่วยลูเคีย โดยที่โยรุอิจิยังไม่ได้บอกให้ไป
ทางด้านของกันจูและฮานาทาโร่ หลังจากที่เขาได้ไปพบลูเคียแล้ว แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับ คุจิกิ เบียคุยะ หัวหน้าหน่วยที่หก ซึ่งเบียคุยะใช้ เซ็มบงซากุระ ดาบฟันวิญญาณของเขาจัดการกันจูอย่างง่ายดาย ต่อมาอิจิโกะเข้ามาช่วย หลังจากสู้ไปได้ไม่นานโยรุอิจิก็ได้บังคับพาตัวอิจิโกะกลับไป ส่วนฮานาทาโร่และกันจูก็ถูกจับขังคุก
            ในระหว่างนั้นอิจิโกะได้ฝึกฝน ตัวเองกับซันเงสึ เพื่อฝึกฝนการใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ ซึ่งเขามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อคำสั่งประหารลูเคียได้เลื่อนเข้ามา โดยเร็นจิเข้ามาบอกข่าวนี้ให้กับอิจิโกะ ทำให้ต้องรีบฝึกฝนเป็นอย่างเร่งด่วนและไม่นานนักเขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จ
และ ในเวลานั้นเอง เร็นจิก็ได้คิดทรยศไปช่วยลูเคีย ซึ่งเขาต้องเผชิญกับ เบียคุยะ หัวหน้าหน่วยของเขา แต่เนื่องจากเบียคุยะใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ ทำให้เร็นจิต้องพ่ายแพ้ไป แต่แล้วฮานาทาโร่กับริคิจิก็ได้มาช่วยรักษาแผลให้เขา ทำให้เร็นจิสามารถกลับไปต่อสู้ได้
           ทางด้านของซาราคิ เขาได้พาโอริฮิเมะไปช่วยกันจู แช้ด และอุริวแล้วจึงพาทุกคนไปหยุดการประหารลูเคียแต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับโทเซ็น และโคมามูระ ซึ่งซาราคิก็เอาชนะโทเซ็นได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อซาราคิจะฆ่าโทเซ็น โคมามูระก็ได้มาขวางไว้และได้ใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ แต่พอสู้ได้ไม่นาน โคมามูระก็หนีไปเนื่องจากเห็นหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะปลดปล่อยดาบฟันวิญญาณ
ทาง ด้านของลูเคีย การประหารได้เริ่มขึ้นแล้วแต่แล้วอิจิโกะก็ปรากฏออกมาพร้อมกับทำลายแท่น ประหาร ส่วนเร็นจิที่ตามมาก็ได้พาลูเคียหนีไป จากนั้นหัวหน้าหน่วยที่สิบสาม อุคิทาเกะ จูชิโร่ และหัวหน้าหน่วยที่แปด เคียวราคุ ซุนซุย ก็ได้ปรากฏมาและได้ทำลายเครื่องประหารชื่อว่าโซเคียคุทิ้งจึงเกิดการต่อสู้ กัน โดยที่อิจิโกะสู้กับเบียคุยะ อุคิทาเกะและซุนซุยสู้กับหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะ และขณะนั้นเองโยรุอิจิก็ได้เข้ามาและต่อสู้กับซุยฟง
           ทางด้านของอุคิ ทาเกะ ซุนซุย และหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะ ทั้งสามหลังจากสู้กันได้ไม่นานก็ได้โดยปลดปล่อยดาบของตนออกมา ส่วนด้านโยรุอิจิกับซุยฟง หลังจากที่สู้กันไม่นาน ซุยฟงได้ปลดปล่อยดาบและใช้วิชาสุดยอดของหน่วยลับ ซึ่งทำให้โยรุอิจิต้องแสดงพลังสุดยอดออกมา จึงทำให้ซุยฟงต้องพ่ายแพ้ไป
             ส่วน ทางด้านอิจิโกะกับเบียคุยะ ทั้งสองสู้กันอย่างสูสีจนทำให้เบียคุยะต้องปลดปล่อยสวัสดิกะ เซ็มบงซากุระ คาเงโยชิ ซึ่งทำความเสียหายอย่างมากจนอิจิโกะต้องใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ เท็นสะ ซันเงสึ หลังจากที่ฝึกมาสามวัน ซึ่งจากการที่ปลดปล่อยสวัสดิกะนั้นได้สร้างความเสียหายจนทำให้เบียคุยะต้อง ใช้ เซ็มบงซากุระ คาเงโยชิ ซูเคย์ ที่แปรสภาพจากซากุระมาเป็นดาบ หลังจากสู้ต่อไปได้สักพักเบียคุยะที่เกือบชนะอิจิโกะได้เผชิญกับร่างฮอลโลว์ ของอิจิโกะก็ได้เข้าแทรกและได้เล่นงานเบียคุยะ แต่สุดท้ายอิจิโกะก็ได้กลับมาร่างเดิมและทั้งสองฝ่ายได้งัดพลังสุดยอดออกมา ใช้และได้ปะทะกัน ผลที่ออกมาคืออิจิโกะชนะแล้วโอริฮิเมะกับคนอื่นก็มารับ(ความจริงคือเบียคุยะ เสมอกับอิจิโกะแต่ดาบของเบียคุยะแตกกลายเป็นซากุระไปเบียคุยะจึงจากไปโดยที่ ยังไม่รู้ผล)
ในระหว่างนั้นงินได้ชวนฮินาโมริเข้ามาในหอแห่งหนึ่งพอฮินา โมริหันหลังไปก็ได้พบกับ หัวหน้าหน่วยห้า ไอเซ็น โซสึเกะ ซึ่งไอเซ็นได้ฆ่าฮินาโมริหลังจากที่เดินมาปลอบเธอ ทันใดนั้นเอง ฮิสึกายะ โทชิโร่ หัวหน้าหน่วยที่สิบก็ได้มาเจอพอดีจึงโกรธมากจึงใช้ปลดปล่อยสวัสดิกะ แต่ก็สู้พลังของไอเซ็นไม่ได้ ซึ่งเป้าหมายของไอเซ็นคือโฮเงียคุซึ่งอยู่ในตัวลูเคีย โดยที่เขามีงินและโทเซ็นเป็นลูกน้อง จึงได้ตามไปหาเร็นจิและได้ใช้กำลังเอาตัวลูเคียมา อิจิโกะได้มาขวางแต่เขากลับสู้ไอเซ็นไม่ได้เลย ถึงแม้จะร่วมมือกับเร็นจิก็ตาม
             หลังจากที่ไอเซ็นได้โฮเงียคุมาแล้ว ก็ได้ให้งินฆ่าลูเคีย แต่เบียคุยะกลับมาขวางทำให้ลูเคียรอดตาย และหัวหน้าหน่วยทั้งหมดก็ได้ยกเลิกการต่อสู้กันและได้มาหาไอเซ็น งิน และ โทเซ็น แต่ก็ได้มีแสงจากเมนอสมารับทั้งสามคน ทำให้หัวหน้าหน่วยที่เหลือทำอะไรไม่ได้เลย

 


ภาคอารันคาร์

           หลังการกบฎของไอเซ็น อิจิโกะก็ได้กลับโลกมนุษย์พร้อมกับคนที่เหลือ โดยลูเคียบอกว่าจะอยู่โซลโซไซตี้ และในชั้นเรียน อิจิโกะได้พบกับ ฮิราโกะ ชินจิ ซึ่งเป็นไวเซิร์ด ฮิราโกะได้ชักชวนให้อิจิโกะมาเป็นพวกเดียวกันแต่อิจิโกะกลับปฏิเสธ และในระหว่างนั้นเองได้มีเมนอสสองตัวปรากฏตัวมาซึ่งตัวแรก อิชิดะ ริวเคน พ่อของอุริว เป็นคนจัดการ ส่วนแกรนด์ฟิชเชอร์ คุโรซากิ อิชชิน พ่อของอิจิโกะเป็นคนจัดการ โดยที่อิชชินบอกให้กอนที่อยู่ในร่างอิจิโกะปิดเป็นความลับ
           ใน วันรุ่งขึ้นอิจิโกะก็ได้เจอฮิราโกะที่ยังตื๊อไม่หยุดแม้ว่าจะไล่ยังไงชินจิ ก็ยังจะตื๊อต่อไปจนกว่าอิจิโกะจะมาเป็นพวกไวเซิร์ด หลังจากนั้นไม่นานอารันคาร์ สองตนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่โลกมนุษย์พร้อมกับ ดูดกลืนวิญญานมนุษย์ไปเป็นจำนวนมาก แช้ดกับอิโนะอุเอะจึงต้องไปหยุดยั้ง แต่แช้ดก็ถูกยามี่ หนึ่งในอารรันคาร์ที่มาบุกทำลายจนแขนขาด ส่วนอิโนะอุเอะที่กำลังจะถูกจัดการก็ได้อิจิโกะเข้ามาช่วย อิจิโกะได้ปลดปล่อยสวัสดิกะ และทำร้ายยามี่จนบาดเจ็บ จนยามี่ต้องใช้ดาบฟันวิญญาน แต่ในระหว่างนั้นอิจิโกะก็ถูกเข้าแทรกโดยด้านร่างฮอลโลว์ของตนเอง ทำให้เขาถูกยามี่ทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่ก่อนที่เขาจะโดนจัดการ โยรุอิจิกับคิสึเกะก็มาช่วยไว้ทัน
             โดยทั้งสองคนได้ต่อสู้กับยามี่จน ตัดแขนยามี่ได้ ทำให้ยามี่โกรธมาจนต้องใช้ซีโร่ แต่ก็ถูกทำลายโดยเบนิฮิเมะของคิสึเกะ ขณะที่คิสึเกะกำลังจะปลิดชีพยามี่นั้น อุลคิโอร่าหนึ่งอาร์รันคาร์อีกคนก็ได้มาปัดคลื่นพลังที่คิสึเกะปล่อยออกมา เพื่อจัดการยามี่ทิ้งพร้อมกับซัดยามี่ไปหนึ่งทีจนสลบแล้วจึงกลับไป ส่วนโอริฮิเมะกับอิจิโกะก็ถูกพาตัวไปรักษา
             ในเวลาต่อมา ยูมิจิกะ อิกคาคุ โทชิโร่ รันงิคุ และลูเคียก็ได้มาโลกมนุษย์ พร้อมกับอธิบายเรื่องฮอลโลว์ชันเมนอสกับอาร์รันคาร์ให้อิจิโกะฟัง โดยอาร์รันคาร์ก็คือฮอลโลว์ที่ไขว่คว้าพลังยมทูตด้วยการถอดหน้ากากออก ถ้าเป็นฮอลโลว์ธรรมดาที่คล้ายเป็นอารันคาร์นั้นมีพลังไม่มากนัก แต่ฮอลโลว์ชั้นเมนอสกรังเด้ที่กลายเป็นอารันคาร์มีพลังมากกว่า โดยเมนอสกรังเด้ยังแยกย่อยได้อีกสามชนิด คือ หนึ่งคือ กิลเลี่ยน มีจำนวนมาก ระดับชั้นพอกับทหารเลว ตัวใหญ่ และเชื่อช้า สองคือ แอดจูคาส มีจำนวนน้อยกว่ากิลเลียน แต่ฝีมือเก่งกว่ากิลเลียน ตัวเล็กกว่ากิลเลียน มีสติปัญญามากขึ้น และสามคือ วาสโทรเด้ มีขนาดเล็กเท่ามนุษย์ ฝีมือเหนือกว่าอารันคาร์ทั้งหมด ระดับพลังวิญญาณสูงกว่าระดับหัวหน้าหน่วย โดยโทชิโร่ได้อธิบายทิ้งท้ายว่า ดังนั้นหากมีอารันคาร์ระดับวาสโทรเด้สักยี่สิบตน โลกและโซลโซไซตี้จะต้องพินาศอย่างแน่นอน ขณะนั้นเอง อุลคิโอร่าและยามี่กลับไปรายงานไอเซ็น ก็ได้พบว่ามีอาร์รันคาร์มากถึงยี่สิบตน ซึ่งอุลคิโอร่าได้แสดงให้ไอเซ็นดูเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งหมด
           หลัง จากนั้นกริมจอว์ หนึ่งในสิบอารันคาร์ที่มีฝีมือสูงสุดหรือเอสปาด้า เขาเป็นผู้มีความสามารถในลำดับหก ก็ได้บุกไปโลกมนุษย์พร้อมกับนาคีม, อิลฟอร์ท, เอโดราโด้, เชาหลง และดีรอย แต่ทุกคนก็ถูกกำจัดหมดยกเว้น กริมจอว์ โดยอิลฟอร์ท ถูกเร็นจิจัดการ นาคีมถูกรันงิคุจัดการ เอโดราโด้ถูกอิคาคุจัดการ ดีรอยถูกลูเคียจัดการ และเชาหลงถูกโทชิโร่จัดการ ส่วนกริมจอว์ได้สู้กับอิจิโกะแต่ในระหว่างต่อสู้โทเซ็นมารับตัวกริมจอว์กลับ ไปตามคำสั่งของไอเซ็น กิรมจอว์จึงต้องกลับไปก่อน ทำให้อิจิโกะรอดตายแต่ก็ต้องเจ็บใจที่ตนเองพ่ายแพ้ไปในที่สุด
             หลัง จบศึกสู้กับอาร์รันคาร์ อิจิโกะได้ไปหาพวกไวเซิร์ดเพื่อที่จะหาวิธีกำราบฮอลโลว์ในตัวเขา ทำให้เขาต้องต่อสู้กับอีกด้านหนึ่งของเขาจนเอาชนะมาได้ด้วยการเร่งเร้า "สัญชาตญาณ" ขึ้นมาข่มด้านฮอลโลว์เอาไว้ ต่อมาอิจิโกะได้ฝึกการแปลงสภาพเป็นฮอลโลว์ แต่ก็แปลงเป็นฮอลโลว์ได้นานแค่สิบเอ็ดวินาทีเท่านั้น
              ขณะนั้นเองไอ เซ็นได้ทดลองปลดปล่อยสภาพจำศีลของโฮเงียคุได้สำเร็จด้วยการผสานพลังเข้ากับ ผู้ที่มีพลังกดดันวิญญาณในระดับหัวหน้าหน่วยแล้วทดลองสร้างอารันคาร์จาก ฮอลโลว์ปริศนาร่างเล็กเท่ามนุษย์ที่ชื่อว่า วอนเดอร์ไวซ์ มัลเจร่า และหลังจากนั้นไอเซ็นก็ได้ส่งอารันคาร์สี่ตนไปยังโลกมนุษย์ ซึ่งได้แก่ กริมจอว์, ยามี่, วอนเดอร์ไวซ์, และลูปี จึงได้เกิดการต่อสู้กันระหว่างอารันคาร์กับยมทูต โดยอิจิโกะต่อสู้กับกริมจอว์ ยามี่ต่อสู้กับคิสึเกะ วอนเดอร์ไวซ์นั่งจับแมลงปอ และลูปีต่อสู้กับโทชิโร่ ยูมิจิกะ อิกคาคุ และรันงิคุ โดยผลออกมาคือ คิสึเกะเล่นงานยามี่จนยับเยินด้วยกายหยาบแบบลูกโป่งของเขา วอนเดอร์ไวซ์ยังคงนั่งจับแมลงปอต่อไป ลูปีถูกโทชิโร่จัดการด้วยคุกน้ำแข็งพันปี ส่วนกริมจอว์ถูกชินจิเล่นงานและในระหว่างนั้นเอง อุลคิโอร่าก็ได้มาห้ามกริมจอว์ไว้เนื่องจากภาระกิจชิงตัวโอริฮิเมะจบแล้ว อารันคาร์ทั้งห้าตนจึงเดินทางกลับลาส์นอเช่
             หลังจากที่ทุกคนรู้ว่าโอ ริฮิเมะถูกอารันคาร์ลักพาตัวไป ก็ได้คิดจะไปช่วยแต่ถูกหัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะห้าม จึงต้องเดินทางกลับไปกันหมดทุกคนเหลือแต่อิจิโกะคนเดียว ซึ่งเขาก็ได้คิดจะไปช่วยโอริฮิเมะ เมื่ออุริวกับแช้ดรู้ข่าว ก็ได้คิดจะไปช่วยโอริฮิเมะพร้อมกับอิจิโกะด้วยโดยก่อนหน้าที่จะไปฮูเอโก้ มุนโด้ อิจิโกะได้ไปโรงเรียนอีกครั้ง อาริซาว่า ทัตสึกิ เข้าไปถามอิจิโกะด้วยอาการโกรธแค้นว่าโอริฮิเมะหายไปไหน แต่อิจิโกะก็บอกทัตสึกิไม่ได้ ทัตสึกิจึงสารภาพว่าเธอได้เห็นอิจิโกะใส่ชุดของยมทูตต่อสู้กับอารันคาร์หลาย ครั้ง และขอให้อิจิโกะสารภาพความจริงทั้งหมด แต่อิจิโกะกลับปฏิเสธจึงเกิดการทะเลาะกัน 


        

 

 

 

 

              

           หลังเลิกเรียน เพื่อนของอิจิโกะโดยมีอาริซาว่า ทัตสึกิ, อาซาโนะ เคโงะ และโคจิมะ มิซึอิโระ ตามอิจิโกะไปยังร้านของอุราฮาร่า และก็ได้รู้ความจริงว่า ที่อิจิโกะทำไปก็เพราะเป็นห่วงโอริฮิเมะเหมือนกัน ทั้งสามบุกเข้าไปยังฮูเอโก้ มุนโด้ แช้ดและอุริวได้จัดการอารันคาร์ที่เข้ามาขวางทั้งสองตน สามารถออกได้จากรังลับของอารันคาร์ และได้มาอยู่ตรงหน้าปราสาทลาส์นอเช่และได้เดินทางเข้าไป
          อีกด้านของ ของเหล่าเอสปาด้าได้ประชุมกันเพื่อรับมือกับเหล่าผู้บุกรุก จนเมื่อกริมจอว์ได้รู้ว่ามีอิจิโกะบุกเข้ามาด้วย ก็อยากจะสู้กับอิจิโกะแต่ถูกไอเซ็นห้ามไว้ หลังจากจบการประชุมของเหล่าเอสปาด้า อุคิโอร่าที่มีหน้าที่ดูแลโอริฮิเมะก็ได้บอกแก่โอริฮิเมะว่าพวกอิจิโกะได้ เข้ามายังฮูเอโก้ มุนโด้แล้ว
            ทางฝ่ายของอิจิโกะเดินเท่าไหร่ก็ไม่ สามารถเข้าใกล้ปราสาทลาส์นอเช่ได้เลย ทั้งสามคนจึงหยุดพัก ระหว่างนั้นก็ได้พบกับอารันคาร์สามตน ประกอบไปด้วย เนล, เปชเช่, ดอนโดแจ็ค และสัตว์เลี้ยงชื่อ บาวาบาว่า โดยเข้าใจผิดว่าเนลเป็นมนุษย์เลยเข้าไปช่วย แต่เมื่อเห็นเนลมีหน้ากากเลยรู้ความจริงว่าเป็นฮอล์โลว์ ทั้งหกจึงขี่บาวาบาว่าเพื่อไปยังลาส์นอเช่ และได้พบกับผู้เฝ้าชื่อลูนูกังก้า จึงเกิดต่อสู้กันแต่ไม่ได้รับชัยชนะ แต่ก็ได้รู้จุดอ่อนของมันคือต้องใช้น้ำในการต่อสู้ แต่ก็ไม่สามารถหาน้ำได้เพราะอยู่ในทะเลทราย ทันใดนั้นก็มีท่าจากดาบฟันวิญญาณของลูเคียเข้ามาช่วย ลูเคียและเร็นจิที่มาช่วยอิจิโกะ ทั้งลูเคียและเร็นจิได้หลบหนีจากโซลโซไซตี้จากการรู้เห็นของ คุจิกิ เบียคุยะ ทั้งสองก็ได้ว่ากล่าวพวกอิจิโกะที่ด่วนเข้าฮูเอ้โก้ มุนโด้ หลังจากนั้นทั้งอิจิโกะ และเร็นจิก็พังกำแพงด้านข้างของปราสาทลาส์นอเช่สำเร็จ เหล่ายมทูตทั้งห้าคนเมื่อเข้าฮูเอโก้ มุนโด้ต่างก็แยกทางกันไปได้ห้าทางและสัญญาว่าจะต้องรอดชีวิตกลับมาอีกครั้ง ก็เหลือแต่อารันคาร์ เนลจึงเลือกทีจะตามอิจิโกะไป เปชเช่ก็ตามเนลไปแต่ไปผิดทางจึงพบกับอุริว ส่วนดอนโดแจ็คก็ตามเนลไปเหมือนกันแต่เจอกันเร็นจิแทน
              อิจิโกะได้ไป ยังรังของเทรซซีรัฟหรือพีวารอน ซึ่งเป็นรังของเหล่าเอสปาด้าที่ตกชั้นกับพวกอารันคาร์สามหลัก และได้ต่อสู้กับ อารันคาร์ No.103 ดอนโดนี่คิดว่าถ้าตนชนะอิจิโกะได้จะได้กลับไปเป็นเอสปาด้าดังเดิมจึงท้าอิจิ โกะให้ปลดปล่อยสวัสดิกะและแปลงร่างเป็นฮอลโลว์โดยทำร้ายเนลเป็นตัวกระตุ้น สุดท้ายก็แพ้และถูกหน่วยเอ็กซีคิวส์(หน่วยล่าสังหาร)ที่ซาเอล อพอลโล่ส่งออกไปเก็บ อุริวก็สู้กับจิรุจิอารันคาร์ No.105 จิรุจจิแพ้และโดนหน่วยเอ็กซีคิวส์(หน่วยล่าสังหาร)เก็บเหมือนกับดอนโดนี่ ส่วนแช้ดก็ได้แสดงพลังที่แท้จริงของแขนทั้งสองข้างของเขาออกมาขณะต่อสู้กับ อารันคาร์ No.107 กันเทนไบน์ มอสเคด้า จนสามารถเอาชนะได้ไปได้อย่างสบายด้วย"ลาร์มูเอเต้"(การโจมตีของจอมมาร)ส่วน ลูเคีย เจอกับ เอสปาด้าหมายเลข 9 อาโรนีโร่ อัลลูรี่ ปลอมเป็นไคเอ็นแต่ก็ชนะมาได้ด้วยระบำที่3 ชิราฟุเนะ(ดาบสีขาว) แต่ก็ไม่ทราบว่าตายรึยังเพราะถูกหอกแทงทะลุร่าง ส่วนเร็นจิเมื่อเจอกับดอนโดแจ็ค ก็ตกลงไปในหลุมพรางของ เอสปาด้าหมายเลข 8 ซาเอล อะพอลโล แกรนซ์แต่ก็ไม่สามารถเชนะได้เพราะดาบถูกสะกดไม่ให้ปลดปล่อยสวัสดิกะ
             แต่ แล้วหลังจากที่แช้ดชนะ เขาก็ต้องเจอกับเอสปาด้าหมายเลข 5 อย่างนอยโทร่าจึงได้แพ้ราบคาบ เพราะ ลาร์มูเอร์เต้ของแช้ดนั้นไม่สามารถโจมตีทะลุ"ฮิเอโร่"(ผิวเหล็ก)ของนอยโทร่า ได้ และ โล่ของเขาก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีของ"ซานต้า เทเรซ่า"ดาบฟันวิญญาณของนอยโทร่าได้ ทางฝั่งอิจิโกะที่ได้เผชิญหน้ากับอุ ลคิโอร่านั้นอิจิโกะได้ปลดปล่อยสวัสดิกะเข้าต่อสู้และแปลงเป็นฮอลโลว์เข้า โจมตีแต่อุลคิโอร่าใช้แค่แขนข้างเดียวซัดอิจิโกะกระเด็นและหน้ากากก็แตก และในที่สุดอิจิโกะรู้ว่าอุลคิโอร่าไม่ใช่เอสปาด้าหมายเลข1แต่เป็นหมายเลข 4(Cuator Espada )และใช้ซีโร่ซัดอิจิโกะตกลงไปแล้วเจาะรูที่หน้าอกตำแหน่งเดี่ยวกับของตน
              ตัด กลับมาที่อุริวซึ่งชนะจิรุจจิแล้วก็ได้ไปเจอกับเร็นจิที่สู้อยู่กับ อะพอลโล แล้วอุริวได้ช่วยต่อสู้โดยใช้ สเปรงเกอร์(ขอบเขตทำลายล้าง)ซึ่งใช้ เซ่เล่ชไนเดอร์ วางเป็นรูปกางเขนควินซี่แล้วหยดอณูวิญญาณควบแน่นลงไปทำให้เกือบชนะ อะพอลโล แต่เพราะ อะพอลโล กิน ฟรานเชี่ยน ของเขาทำให้รักษาอาการบาดเจ็บได้หมด ตัดกลับไปที่อิจิโกะที่นอนสลบอยู่แล้วกริมจอว์ ก็โผล่มาโดยพา อิโนะอุเอะ มาด้วยแล้วให้รักษา อิจจิโกะ เพราะจะสู้กับอิจจิโกะในสภาพที่ไม่มีบาดแผล ระหว่างรักษา อุลคิโอร่า ก็โผล่มานำตัวอิโนอุเอะกลับไป แต่กริมจอว์มาขวางไว้เลยเกิดการปะทะขึ้นแล้วกริมจอว์ก็ใช้ คาฮาเนกาเชี่ยน ขังอุลคิโอร่าไป เมื่ออิจิโกะฟื้นแล้วก็ทำการต่อสู้ กับกริมจอว์


             

หลัง จากที่อิจิโกะปลดปล่อยสวัสดิกะแล้วต่างฝ่ายต่างจู่โจมเข้าหากันทันที ท่ามกลางการต่อสู้นั้น เนลซึ่งเกลียดการต่อสู้ และเป็นห่วงอิจิโกะอีกทำให้เนลกลัวการต่อสู้มากยิ่งขึ้น แต่อิโนะอุเอะก็ยังคงปลอบประโลมว่าอิจิโกะต้องทำได้ และยังมั่นใจอีกว่าอิจิโกะต้องชนะเพื่อทำให้เนลสบายใจ ทั้งๆที่ตัวเธอเองนั้น ยังหวาดหวั่นในใจ การต่อสู้นั้นไม่มีใครต่างยอมใคร เพราะการต่อสู้นี้เป็นนัดชี้ชะตา และจะไม่มีใครขัดขวางได้ แต่แล้วกริมจอว์ก็ปล่อย ซีโร่ที่ทางอานุภาพมากที่สุดในหมู่เอสปาด้าคือ กรังด์ เรย์ ซีโร่(ลำแสงราชันย์ฮอลโลว์) แต่สิ่งที่อิจิโกะปล่อยออกมาคือ พลังของฮอลโลว์ในตัวอิจิโกะในรูปหน้ากากฮอลโลว์ ทำให้สิ่งที่กริมจอว์คาดหวังนั้นประสบผลแล้ว การที่กริมจอว์ปล่อยพลังนี้ออกมา อิโนะอุเอะและเนลก็รับรู้ถึงพลังนั้น ทำให้ความกลัวนั้นยิ่งน่าเกรงกลัวยิ่งขึ้นและยังสัญญาว่าจะทำให้มันจบลง
              เมื่อ สิ่งที่คาดหวังมาถึงก็ถึงเวลาที่กริมจอว์ปลดปล่อยดาบของตัวเองเช่นกัน "จงเสียดเสียง แพนเทร่า (ราชันย์พยัคฆ์)" อิจิโกะบอกให้อิโนะอุเอะกั้นโล่สามสวรรค์หน้าตัวเองกับเนล เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป อิจิโกะตะลึงกับแรงอัดเสียงของกริมจอว์ ไม่รอช้า กริมจอว์จู่โจมอิจิโกะอย่างรวดเร็ว ทำให้อิจิโกะบาดเจ็บอย่างไม่น่าสงสัย แถมยังดูถูกเพราะรู้ดีว่าฝีมือของอิจิโกะไม่ใช่แค่นี้ และอิจิโกะก็จู่โจมโดยใช้ เก็คขะ(เขี้ยวจันทรา) เท็นโช (ทะลวงสวรรค์)การบาดเจ็บของกริมจอว์ทำให้ความแค้นเกิดขึ้น กริมจอว์ตอบโต้อย่างไม่ยั้ง ทำให้หน้ากากของอิจิโกะแตกเหลือเศษส่วนเพียงเล็กน้อย แต่นั้นก็เป้นการกระตุ้นอิจิโกะด้วย ทำให้อิจิโกะต้องนำดาบที่คมกริบ ฟาดฟันกริมจอว์ด้วยพลังฮึดสุดท้าย กริมจอว์พ่ายแพ้อย่างหมดท่า แต่ดีใจได้เพียงไม่นานกริมจอว์ลุกขึ้นมาอย่างขี้แพ้ชวนตี แต่อิจิโกะไม่ต้องการจะต่อสู้แล้ว เพราะรู้ผลว่ากริมจอว์นั่นแพ้แล้ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น นอยโทร่า(เอสปาด้าหมายเลข 5) เข้ามาปรากฏตัวพร้อมโจมตีกริมจอว์ จนหมอบไป อิจิโกะที่หมดเรี่ยวแรง ผลจากที่ต่อสู้กับกริมจอว์เข้าต่อสู้ ระหว่างที่ทั้ง 2 กำลังต่อสู้กัน เนลที่สูญเสียหน้ากากฮอลโลว์ ได้ค่อยๆกลายร่างเป็นเนลเลียน ซึ่งก็คือ อดีตเอสปาด้าอันดับที่ 3 โดยเนเลียนต่อสู้กับดอยโทร่า ได้สูสี จนสามารถจะล้มได้แล้ว ทว่า เนลเลียนได้กลับคืนร่างเดิม อันตรายได้คลืบคลานสู่อิจิโกะ และ เนล ด้าน อิชิดะและเรนจิ ได้ต่อสู้กับ ซาเอลอพอลโล่ รอบ 2 คราวนี้ เขาได้ใช้ไม้ตายเหมือนตุ๊กตาลงทัณฑ์ ใช้ค่อยๆทรมานทั้ง 2 ดอนโคแจ๊ค และ เปชเช่ซึ่งรู้ถึงพลังของเนเลียนจึงเข้าปะทะกับซาเอลอพอลโลด้วยพลังที่ปกปิด ไว้ ทางอิจิโกะ ขณะที่กำลังจะจนมุม ซาราคิ เค็นปาจิ ก็เข้ามาช่วยอิจิโกะสู้กับ นอยโทร่าด้วย ทางด้านอิชิดะและเร็นจิ เมื่อจนมุม คุโรซึจิ มายูริและ เนม เข้ามาช่วยได้ทัน ซาเอล อพอลโล เมื่อสู้มายูริไม่ได้จึงสิงร่างเนม แล้วดูพลังงานวิญญาณ แต่ก็ไม่สามารถชนะมายูริที่มาพร้อมทรงผมใหม่ด้าน คุจิกิ เบียคุยะที่มาช่วยลูเคีย ก็เข้ามาสู้กับ โซมารี เอสปาด้า หมายเลข 7 ซึ่งสามารถเอาชนะได้ด้วยการใช้ เซมบ้ง ซากุระ คาเงโยชิ เช่นกันทางนอยโทร่าที่ถึงขั้นปลดปล่อยซาตานเทเรสซ่าและคำปลดปล่อยคือ"จงอ้อน วอน"แต่ก็พ่ายแพ้แก่ ซาราคิ แต่แล้ว โอริฮิเมะก็ถูก สตาร์ค จับตัวไป เมื่อพบกับไอเซ็น ไอเซ็นจึงจะไปหาโอเค็น ซึ่งดันเจอ 13 หน่วยพิทักษ์แห่งโซลโซไซตี้มา เพื่อขัดขวาง ซึ่งทาง ลาสต์นอเช่ ก็ฝากให้อุลคิโอร่าจัดการ

 

ภาคฮูเอโกมุนโด้

              ได้มีการกล่าวถึงอดีตในโซลโซไซตี้ ฮิราโกะ ชินจิ(ตอนเป็นหัวหน้าหน่วย 5) และเหล่าไวเซิร์ดทราบข่าวเรื่องมียมทูตหายตัวไป เค็นเซย์ และ มาชิโระ จึงไปตรวจดู แต่ก็หายตัวไป พวกไวเซิร์ดคนอื่น (ดูตำแหน่งขณะนั้นที่หัวข้อ 13 หน่วยพิทักษ์) จึงไปดู ต้องปะทะกับพวกเค็นเซย์ที่เป็นฮอลโลว์ พวกฮิราโกะได้รู้ว่า ไอเซ็น อิจิมารุ และ โทเซ็น ได้ใช้พลังในการสะกดทุกคน (เคียวขะซุยเกสึ) ทำให้พวกฮิราโกะจนมุม เมื่อคิสึเกะมาช่วย พวกไอเซ็นกลับไปแจ้งข่าวว่า พวกฮิราโกะ และ อุราฮาร่า เป็นต้นตอของเรื่องการหายตัว พวกไวเซิร์ด อุราฮาร่า เท็ตไซ และ โยรุอิจิ จึงถูกเนรเทศออกจากโซลโซไซตี้[โดยที่ทุกคนไม่รู้เรื่องความจริงเกี่ยวกับพวก ไอเซ็น แต่คนที่ถูกเนรเทศครั้งนี้รูเรื่องเกี่ยวกับไอเซ็นทุกคน]
             กลับ สู่เนื้อเรื่องปัจจุบัน ระหว่างที่พวกไวเซิร์ดเตรียมการศึก อุลคิโอร่าได้ถามถึงความกลัวที่จะถูกฆ่าต่อโอริฮิเมะ ซึ่งจิตใจของทุกคนยังมุ่งไปสู่การช่วยโอริฮิเมะ ระหว่างทาง เหล่ามือล่าสังหารได้เข้าจู่โจม อิจิโกะ แต่ แช็ด ลูเคีย และ เร็นจิมาช่วยขวางไว้ อิจิโกะจึงทะลวงลาสต์นอเช่เข้าปะทะกับอุลคิโอร่าอีกครั้ง
             กลับสู่โลก มนุษย์ มีอารันคาร์ที่เข้าจู่โจมเสาหลัก(ที่ทำให้เมืองเป็นของปลอม) แต่ก็โดน ยูมิจิกะ คิระ และ ฮิซากิ เข้าจัดการ ยูมิจิกะ ได้ถูกขังในโลกมืดจึงปลดปล่อยดาบของจริง จึงเอาชนะได้ ทางคิระเมื่อถูกอารันคาร์ยั่วเรื่องอิจิมารุ จึงเริ่มตอบโต้และเอาชนะได้ และสุดท้ายทางฮิซากิ เมื่อจนมุมได้นึกถึงคำพูดของหัวหน้าโทเซ็นว่า ผู้ที่ไม่เกรงกลังดาบของตนเอง ย่อมไม่มีคุณสมบัติจะจับดาบต่อสู้ แล้วฮึกเหิมเอาชนะได้ ทว่าเสาต้นสุดท้ายถูกทำลายลงเพราะ อิกคาคุ ถูกจัดการแล้ว แตทว่านั้นคือเขาซ้อนคือมีเสาของจริงอยู่ด้านใน ซึ่ง อิบะ และ โคมามูระ เข้ามาช่วย อิบะได้รู้เรื่องของอิกคาคุมานานแล้ว และรู้ว่าอิกคาคุไม่ยอมปลดปล่อยสวัสดิกะเพราะเหตุใด จึงสั่งสอนว่า ถ้าไม่อยากใช้บังไค ก็จงแข็งแกร่งขึ้นจนชนะโดยไม่ต้องใช้บังไคซิ โคมามูระและอิบะ จึงสัญญาว่าจะเก็บเป็นความลับ ทว่า อารันคาร์ที่เหลือจึงเข้าปะทะกับหน่วยที่ 2 8 10 และ 13 ซึ่งทุกคนก็เข้าปะทะด้วยความยากลำบาก โดยที่หน่วย 10 ปะทะกับพวกฮาริเบล โดยฮิซึกายะ สู้กับ ฮาริเบล และปล่อบให้รันงิคุ สู้กับอาปาช มิลาโรส และ ซุนซุน ส่วนหน่วยที่ 2 ได้เข้าสู้กับลูกน้องของบารากัน โดยที่สุดท้ายก็สามารถเอาชนะลูกน้องของบารากันได้อย่างไม่ยากเย็น ส่วน ชุนซุย และ อุคิทาเกะ ได้ต่อสู้กับสตาร์ค โดยที่ชุนซุยขอสู้กับสตาร์ค และให้อุคิทาเกะคอยดูแล ลิลิเน็ตซึ่งเป็นฮอลโลว์เด็กที่สตาร์คพามาด้วย และฉากได้ตัดมาที่ รันงิคุ สู้กับลูกน้องของฮาริเบล โดยด้วยเหตุที่ว่า 3-1 ทำให้รันงิคุไม่อาจต้านมานได้ แล้วใกล้จะเสียท่า แต่แล้วฮินาโมริจึงแอบหลบหนี้จากโซลโซไซตี้ แล้วมาช่วยรันงิคุได้ทัน ทั้ง2ช่วยกันสู้ได้สูสีกับลูกน้องของฮาริเบล แต่แล้วอาปาช มิลาโรส และ ซุนซุน ก็ได้ปลดปล่อยดาบของ ตน และได้แสดงความสามารถของตนออกมา เป็นการตัดแขนซ้ายของทั้ง 3 มารวมกันกลายเป็นปีศาจ ขนาดใหญ่ที่มีร่างกายบึกบึน ซึ่งปีศาจตนนีได้เข้าจู่โจมรันงิคุอย่างรวดเร็วจนรันงิคุตั้งตัวไม่ทันการ โจมตีนี้ทำให้ท้องทางซีกขวาของรันงิคุถูกฉีกไป เมื่อฮินาโมริเห็นรันงิคุในสภาพปางตาย จึงได้ใช้วิธีมารช่วยเอาไว้ แต่แล้วเจ้าปีศาจกลับเข้ามาโจมตีฮินาโมริจนแทบหมดสภาพที่จะสู้ต่อ แต่แล้วคิระ และ ชูเฮย์ ก็ได้เข้ามาช่วยไว้ทัน ชูเฮย์เข้าปะทะกับเจ้าปีศาจแต่ก็สู้ไม่ได้ ส่วนคิระก็กำลังหาทางช่วย รันงิคุอยู่ แต่แล้วหัวหน้ายามาโมโตะ ก็เข้ามาช่วยไว้และปลดปล่อยขั้นต้นเข้าสังหาร ปีศาจตนนี้ได้อย่างง่ายดาย และจังหวะนั้นเอง อาปาช มิลาโรส และ ซุนซุนได้เข้าโจมตีหัวหน้ายามาโมโตะจากด้านหลัง แต่แล้วพริบตานั้นดาบเพลิงของหัวหน้ายามาโมโตะได้สร้างเปลวเพลิงขนาดยักษ์ ออกมา เผาผลาญอารันคาร์ทั้ง 3 ให้สิ้นชีพในพริบตา ฮาริเบลที่กำลังต่อสู้อยู่กับฮืซึกายะจึงเริ่มเอาจริงขึ้นมา เพราะความเสียใจที่ตนเสียลูกน้องไป โดยขณะนั้นฮาริเบลได้เปิดเสื้อให้ฮิซึกายะดู ซึ่งสิ่งที่เห็นคือ หน้ากากฮอลโลว์ตั้งแต่ปากจนถึงหน้าอก และหมายเลข 3 ที่บริเวณหน้าอกข้างขวา และแล้วด้วยความโกรธฮาริเบลจึงพุ่งเข้าจู่โจมฮิซึกายะอย่างรวดเร็ว ฮิซึกายะเห็นท่าไม่ดี จึงปลดปล่อยสวัสดิกะเข้าสู้ โดยการตวัดดาบเพียงครั้งเดียวของฮาริเบล ทำให้ปีกอันแข็งแกร่งของไดงูเร็น เฮียวรินมารุ ทลายลงไปกว่าครึ่ง และฉากตัดมาที่ สตาร์คกับชุนซุย โดยสคาร์คบอกว่าอาริเบลเป็นหมายเลข 3 ที่แกร่งที่สุด และยังบอกต่อว่าบารากันผู้ที่คอยสั่งการอยู่นั้นก็ไม่ใช่หมายเลข 1 แต่แล้วชุนซุยก็ถามสตาร์คว่า "แล้วเจ้าละหมายเลขอะไร" สตาร์คจึงชูหมายเลขที่อยู่หลังมือซ้ายให้ดู ซึ่งหมายนั่นคือ "หมายเลข 1 "
ที่

ภาคดวงจิตแห่งศาสตรา

เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ มุรามาสะ ผู้อ้างว่าตัวเองเคยเป็น ดาบซัมปาคุโต มาก่อนและได้มายื่นขอเสนอให้กับเหล่าดาบผ่าวิญญาณทั้งหลายในเซเรย์เทย์ ไม่ว่าจะเป็น ซาบิมารุของอาบาราอิ เร็นจิ หรือ เซมบงซากุระ ของคุจิกิเบียคุยะ รวมถึงคนอื่นๆ โดยได้ยื่นขอเสนอว่า ถ้าช่วยเขาแก้แค้นยมทูต เขาจะปลดทุกคนให้เป็นอิสระจากการพันธนาการของยมทูต ซึ่งการหายตัวไปอย่างลึกลับของ หัวหน้าใหญ่ยามาโมโตะ ทำให้โซลโซไซตี้ต้องร้อนเป็นไฟอีกครั้ง! ติดตามได้ในบลีชตั้งแต่ ตอนที่230 เป็นต้นไป

 

 

 

JEJUNG & YUCHUN / COLORS ~Melody and Harmony~

COLORS ~Melody and Harmony--- TOHOSHINGI.   sweat

เพลงนี้คู่หูคิดตี้ เค้าแต่งเองและเค้าก็ร้องให้คิดตี้เนื่องใน

อายุครบเท่าไหร่ก็ไม่รู้ อิจฉาคิดตี้เฟร๊ย 15

ฟังทีแรกก็ไม่เข้าใจ

แต่

เพลงนี้มันอบอุ่นจับขั้วหัวจิตหัวใจซะจริง ๆ    050

COLORS 〜Melody and Harmony〜
Original
今どこかで誰かが
辛い気持ちで
一人きり
眠れぬ夜を
過ごしているのなら
その心に
光さすまで
よりそって
眠ろう(?)から
あの melody and harmony and love
誰かの為に
僕らはここで
小さな事しかできないけれど
1秒だけでも世界中の涙止めて
笑顔になってくれるのなら
愛し続けるよ
歩き続けるよ
溢れる思いが
届くと信じて
生まれる前から
僕らは出会って
夢を探していた
そんな気がするよ
[RAP]
きらめく音に
綴られる時
悲しすぎて
忘れていられた(???)
melody and harmony
いつもそばにいて
僕に勇気と希望をくれたね
君にありがとう
ずっとありがとう
輝く思いは
君を???
支え合える事
見つめ合える事
1人じゃないと
教えてくれたよ
重ね合う愛を
melodyに乗せて
伝えてゆきたい
いつもいつまでも
この場所から
愛し続けるよ
歩き続けるよ
溢れる思いが
届くと信じて
君にありがとう
ずっとありがとう
輝く思いは
君を???
重ね合う愛を
melodyに乗せて
伝えてゆきたい
いつもいつまでも
lalala…
今どこかで誰かが
辛い気持ちで
一人きり
眠れぬ夜を
過ごしているのなら
その心に
光さすまで
よりそって
眠ろう(?)から
あの melody and harmony and love
Thai Lyrics
อิมา โดโค คา เด ดาเรคากา
ซึราอิ คิโมชิ เดะ
ฮิโทริ คิริ
เนมูเรนุ โยรุ โว
ซุโกมินิ โคเปเรอิรุ โนะ นาระ
โซโน โคโคโร นิ
ฮิคาริ ซาสุ มาเดะ
โยริซทเตะ
เนมุรุ คารา
อาโนะ melody and harmony and love
ดาเร คา โนะ ทาเมะ นิ
โบคุรา วา โคโค เดะ
ชิซานะ โคโท ชิกะ เดคินาอิ เคเรโด
อิชิ โบว ดาเค เดโมพ เซคาอิจู โนะ นามิดะ โทเมะเตะ
เอกาโอะ นิ นัตเตะ คุเรรุ โนะ นาระ
อาอิชิ ซึซุเครุ โย
อารุคะ ซึดูเครุ โย
อาฟุเรรุ โอโมอิ กา
โทโดคุ โทะ ชินจิเตะ
อูมาเรรุ มาเอะ คารา
โบคุรา วะ เดอัตเตะ
ยูเมะ โวะ ซากามินิ โคเปราอิตะ
ซนนา คิ กา ซุรุ โย
[RAP]
คิระเมคุ โอโต นิ
ซึซุราเรรุ โทคิ
คานาชิซุกิเตะ
วาสุราเตะ อิราเรตะ
melody and harmony
อิซึโมะ โซบะ นิ อิเตะ
โบคุ นิ ยูคิ โท คิโบ โวะ คุเระตะ เนะ
คิมิ นิ อาริกาโตว
ซุตโตะ อาริกาโตว
คากายาคุ โอโมอิ วะ
คิมิ โวะ
ซาซาเอ อาเอรุ โคโต
มิซึเมะ อาเอทุ โคโต
ฮิโตริ จานาอิ โคโตะ
โอชิเอเตะ คุเรตะ โย
คาซาเน อาอุ อาอิ โวะ
melody นิ โนเซเตะ
ซึทาเอเตะ ยูคิทาอิ
อิซึโมะ อิซึมาเดะ โม
โคโนะ บาโช คาระ
อาอิชิ ซึซุเครุ โย
อารุคะ ซึดูเครุ โย
อาฟุเรรุ โอโมอิ กา
โทโดคุ โท ชินจิเตะ
คิมิ นิ อาริกาโตว
ซุตโตะ อาริกาโตว
คากายาคุ โอโมอิ วะ
คิมิ โวะ
คาซาเน อาอุ อาอิ โวะ
melody นิ โนเซเตะ
ซึทาเอเตะ ยูคิทาอิ
อิซึโมะ อิซึมาเดะ โม
lalala…
อิมา โอโค คา เด ดาเร คา กะ
ซคราอิ คโมชิ เด
ฮิโตริ คิริ
เนมูเรนุ โยรุ โวะ
ซุโกมินิ โคเปเรอิรุ โนะ นาระ
โซโน โคโคโร นิ
ฮิคาริ ซาสุ มาเดะ de
โยริซทเตะ
เนมุโรว คาระ
อาโนะ melody and harmony and love
Translation
ในตอนนี้ ที่ที่แห่งหนึ่ง มีคนคนหนึ่ง
ที่กำลังเจ็บปวด ที่กำลังรู้สึกเหงา จนไม่สามารถนอนหลับได้ในคืนนี้
เขาคนนั้นกำลังก้าวผ่านสิ่งนั้นไป จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่าง...
ถ้าหากพวกเราก้าวไปด้วยกัน...
พวกเราจะสามารถเข้าสู่ห้วงนิทรา ไปพร้อมกับ
ท่วงทำนองและเสียงเพลงที่แสนไพเราะและความรัก...
เป็นเพราะความหวังของคนคนหนึ่ง พวกเราจึงอยู่ที่นี่
ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเราได้รับ จะเป็นเพียงแค่สิ่งเล็กน้อย
หรือเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาเสี้ยววินาทีเดียวก็ตาม
พวกเรายังหวังที่จะเปลี่ยนหยดน้ำตาทุกหยดบนโลกใบนี้
ให้กลายเป็นรอยยิ้ม...
รักกันไว้...และก้าวเดินไปพร้อมกัน
พวกเราเชื่อว่า เราจะสามารถส่งความรู้สึกที่ท่วมท้นเหล่านี้ออกไปได้
ตั้งแต่ตอนที่พวกเรายังไม่ได้เกิดมา...
พวกเรารู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะได้เจอกัน
และพวกเราจะตามหาความฝันไปพร้อมๆกัน
[RAP]
ช่วงเวลาที่พวกเราสามารถสร้างเสียงที่ไพเราะขึ้นมาได้
เป็นช่วงเวลาที่พวกเราสามารถจะลืมความเจ็บปวดทั้งหมดที่ผ่านมา
เพราะคุณคอยอยู่เคียงข้างผมเสมอ...
คอยมอบกำลังใจและความหวังให้กับผม
ขอบคุณ
ขอบคุณเสมอมา ความรู้สึกที่เปล่งประกายเช่นนี้
ผมอยากกล่าวคำขอบคุณกับคุณ
คุณ คนที่สอนให้ผมรู้จัก
รู้จักที่จะคอยช่วยเหลือกันและกัน
รู้จักที่จะคอยส่งสายตาให้กันและกัน ...
และเพราะเหตุนั้น ผมถึงไม่เหงาอีกต่อไป...
ความรักมากมายที่เกิดขึ้นนั้น...
ถูกส่งผ่านไปทางท่วงทำนองที่แสนไพเราะ
ผมอยากจะส่งมอบความรักนี้ต่อไปและตลอดไป
เริ่มต้นจากที่นี่.....
รักกันไว้...และก้าวเดินไปพร้อมกัน
พวกเราเชื่อว่า เราจะสามารถส่งความรู้สึกที่ท่วมท้นเหล่านี้ออกไปได้
ขอบคุณ...ขอบคุณตลอดไป
ความรู้สึกที่เปล่งประกายเช่นนี้ เกิดขึ้นเพื่อคุณ
ความรักมากมายที่เกิดขึ้นนั้น
ถูกส่งผ่านไปทางท่วงทำนองที่แสนไพเราะ
ผมอยากจะส่งมอบความรักนี้ต่อไป และตลอดไป
ล๊าลาลาลา ลาลาลาลา ๆๆๆๆๆๆๆ
ในตอนนี้ ที่ที่แห่งหนึ่ง มีคนคนหนึ่ง
ที่กำลังเจ็บปวด ที่กำลังรู้สึกเหงา จนไม่สามารถนอนหลับได้ในคืนนี้
เขาคนนั้นกำลังก้าวผ่านสิ่งนั้นไป จนกระทั่งได้พบกับแสงสว่าง...
ถ้าหากพวกเราก้าวไปด้วยกัน...
พวกเราจะสามารถเข้าสู่ห้วงนิทรา ไปพร้อมกับ
ท่วงทำนองและเสียงเพลงที่แสนไพเราะและความรัก...

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กีฬา ว่ายน้ำ

 

ประวัติกีฬาว่ายน้ำ

1162434475          

          กีฬาว่ายน้ำ (Swimming) ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง เพราะมนุษย์สามารถว่ายน้ำได้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ตามชายทะเล แม่น้ำ ลำคลอง และที่ราบลุ่มต่างๆ เช่น พวกเอสซีเรีย อียิปต์ กรีก และโรมัน มีการฝึกหัดว่ายน้ำกันมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาล เพราะมีผู้พบภาพวาดเกี่ยวกับการว่ายน้ำในถ้ำบนภูเขาแถบทะเลทรายลิบยาน
             การว่ายน้ำในสมัยนั้นเพียงเพื่อให้สามารถว่ายน้ำข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ หรือเมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วมป่าและที่อยู่อาศัยก็สามารถพาตัวไปในที่น้ำท่วมไม่ถึงได้อย่างปลอดภัย การว่ายน้ำได้มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน แต่มีหลักฐานบันทึกไว้ไม่นานนัก Ralph Thomas ให้ชื่อแบบว่ายน้ำที่มนุษย์ใช้ว่ายกันมาตั้งแต่เดิมว่า ฮิวแมน สโตร์ก (Human stroke) นอกจากนี้พวกชนชาติสลาฟและพวกสแกนดิเนเวียรู้จักการว่ายน้ำอีกแบบหนึ่ง โดยใช้เท้าเคลื่อนไหวในน้ำคล้ายกบว่ายน้ำ หรือที่เรียกว่าฟล็อกคิก (Flogkick) แต่วิธีการเคลื่อนไหวของท่าแบบนี้จะทำให้ว่ายน้ำได้ไม่เร็วนัก
              การแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกได้จัดขึ้น วูลวิช บาร์ท (Woolwich Baths) ใกล้กับกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. 2416 การแข่งขันครั้งนั้นมีการแข่งขันเพียงแบบเดียวคือ แบบฟรีสไตล์ (Free style) โดยผู้ว่ายน้ำแต่ละคนจะว่ายแบบใดก็ได้ ในการแข่งขันครั้งนี้ J. Arhur Trudgen เป็นผู้ได้รับชัยชนะ โดยเขาได้ว่ายแบบเดียวกับพวกอินเดียแดงในอเมริกาใต้ คือแบบยกแขนกลับเหนือน้ำ ซึ่งเป็นวิธีการว่ายน้ำของเขาได้กลายเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากจนได้ชื่อว่า ท่าว่ายน้ำแบบทรัดเจน (Trudgen stroke) ประชาชนชาวโลกได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการว่ายน้ำเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรือเอก Mathew Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษจากเมืองโดเวอร์ คาเลียส เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2418 โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 21 ชั่วโมง 45 นาที ด้วยการว่ายแบบกบ (Breast stroke) ข่าวความสำเร็จอันนี้ได้สร้างความพิศวงและตื่นเต้นไปทั่วโลก ต่อมาเด็กชาวอเมริกันชื่อ Gertude Ederle ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2469 ทำเวลาได้ 14 ชั่วโมง 31 นาที โดยว่ายน้ำแบบท่าวัดวา (Crawa stroke) จะเห็นได้ว่าในชั่วระยะเวลา 50 ปี 

369   

 

10_8_swimming


           การว่ายน้ำได้วิวัฒนาการก้าวหน้าขึ้นเป็นอย่างมาก ถ้าหากได้พิจารณาถึงเวลาของคนทั้งสองที่ทำได้ แบบและวิธีว่ายน้ำได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความเร็วขึ้นเสมอ ในบรรดานักว่ายน้ำทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแลนเคเชียร ์และออสเตรเลีย ได้ดัดแปลงวิธีว่ายน้ำแบบทรัดเจน ซึ่งก็ได้รับผลดีในเวลาต่อมา กล่าวคือ Barney Kieran ชาวออสเตรเลียและ T. S. Battersby ชาวอังกฤษ ได้ว่ายน้ำแบบที่ปรับปรุงมาจากทรัดเจน เป็นผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2449-2415 Alex Wickham ชาวเกาะโซโลมอนเป็นผู้ริเริ่มการว่ายน้ำแบบท่าวัดวาและเป็นผู้ครองตำแหน่งชนะเลิศของโลก ระยะทาง 50 หลา เขาได้กล่าวว่าเด็กโซโลมอนทุกคนว่ายน้ำแบบนี้ทั้งนั้น ต่อมาท่าว่ายน้ำแบบวัดวาจึงเป็นที่นิยมฝึกหัดกันโดยทั่วไป กีฬาว่ายน้ำได้จัดเข้าไว้ในการแข่งขันโอลิมปิกเมื่อปี พ.ศ. 2436 และได้จัดการแข่งขันมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุดังกล่าวกีฬาว่ายน้ำก็ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป และถือเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก มีการพัฒนากีฬาว่ายน้ำให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นเป็นลำดับ โดยมีผู้คิดแบบและประเภทของการว่ายน้ำเพื่อความสนุกสนาน และความตื่นเต้นในการแข่งขันมากขึ้น

ประวัติว่ายน้ำในประเทศไทย

สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้จดทะเบียนสมาคมต่อกรมตำรวจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2502 ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมว่ายน้ำฯคนแรกคือ พลเรือโท สวัสดิ์ ภูติอนันต์ ร.น. ในปีเดียวกันนี้สมาคมว่ายน้ำฯได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำนานาชาติ

ในปี พ.ศ. 2504 รัฐบาลได้อนุมัติเงินงบประมาณจำนวน 10 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างสระว่ายน้ำมาตรฐานขนาดความยาว 50 เมตร กว้าง 25 เมตร พร้อมทั้งที่กระโดดน้ำ และอัฒจันทร์คนดูจำนวน 5,000 ที่นั่ง ณ บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ และเปิดใช้ในการแข่งขัน เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2506 เรียกว่า สระว่ายน้ำโอลิมปิก (ปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นสระว่ายน้ำวิสุทธารามย์) และสมาคมว่ายน้ำฯได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำแห่งเอเชียในปี พ.ศ. 2509

ปัจจุบันกีฬาว่ายน้ำได้รับความสนใจจากประชาชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขาวง ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการได้บรรจุกีฬาว่ายน้ำไว้ในหลักสูตรเกือบทุกระดับ โดยในปัจจุบันมีจำนวนสโมสรที่เป็นสมาชิกของสมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทยถึง 56 สโมสร

 

67956abad01

ประวัติแบดมินตัน ประวัติกีฬาแบดมินตัน Badminton แบดมินตัน ประวัติกีฬาแบดมินตัน

         จุดเริ่มต้นของกีฬาการเล่นลูกขนไก่ แบดมินตัน แบบเก่าที่เรียกว่า battledore ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นการ เล่นแบดมินตันอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นอดีตที่สูญหายไปในประวัติศาสตร์การกีฬา ซึ่งแม้ ว่าจะมีการค้นคว้า อย่างหนักก็ตามก็ค้นพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกีฬาที่ว่านี้น้อยมาก หลักฐาน ที่พอจะค้นพบได้ก็คือ ลูกขนไก่แบบ หยาบๆ กับไม้หลายขนาด เป็นรูปทรงที่ไม่สามารถ เรียกว่า แร็กเกต อย่างในปัจจุบันนี้ ได้เลย

13105abad03

ประวัติแบดมินตัน

              รูปแบบ การเล่นกีฬาเก่าแก่อันนี้ในอังกฤษ ช่วงปลาย ศตวรรษ ที่ 14 นั้น ใช้ผู้เล่น สองคนตีได้ลูก ที่ดูคล้ายจรวดด้วยไม้หนาๆ พอมาถึงในศตวรรษที่ 17 แบบ การเล่นและอุปกรณ์ในฝรั่งเศส, สวีเดน และประเทศแถบอื่นๆ ในยุโรป ต่างก็แสดงให้เห็น ถึงชนิดของอุปกรณ์การเล่นตามแบบ อดีตอันเก่าแก่ และมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในหมู่คน ทุกชนชั้นในหลาย ๆ ประเทศในช่วงเริ่มแรกของการกำเนิดลูกขนไก่ และรวมทั้งเกมการเล่นด้วยนั้น ได้รับความรู้จักกันใน ฐานะของลูกบอลขนไก่ มีลักษณะคล้ายลูกบอล เส้น ผ่าศูนย์กลางราว 1 นิ้วครึ่ง ทำจากผ้า, ขนสัตว์ หรืออาจจะเป็นขนไก่ นิ่มที่อัดแน่นเป็นก้อน ใช้แทนลูกขนไก่แบบหยาบในขณะเดียวกัน ลูก กอล์ฟ ในสมัยโบราณก็ใช้วิธีการทำเช่นเดียวกันนี้ และเป็นที่รู้จักกันดีว่าน้ำหนัก ของลูกขนไก่นี้ ต้องหนักเท่ากับจำนวนขนไก่ที่ใส่เอาไว้ในหมวกทรงสูงจน เต็ม ลูกขนไก่ยุคดั้งเดิมนี้มีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไป เพราะสามารถทำ ตามรูปร่าง และขนาดได้หลายแบบ เพราะผู้เล่นแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเป็น ของตัวเองว่าจะตีลูกแบบไหนถึงจะคล่องมือ แต่โดยทั่วไปแล้วที่ฐานจะทำ จากไม้แล้วมีขนไก่ติดอยู่อย่างไม่จำกัดจำนวน ในยุคนั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับ การขลิบให้ขนไก่มีระดับเท่ากัน ขนไก่จึงยาวมากแล้วก็ใช้แต่ขน นกเพียง อย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งคือ แม้ว่าในยุคนั้นคนในยุโรป และโรมันต่างก็รู้ จักใช้ ไม้ก๊อกกันแล้ว แต่ในอังกฤษกลับมีการพัฒนาการใช้ไม้ก๊อกกับลูกขนไก่ช้า มาก มีการบันทึกกันอย่างเป็นหลักฐานว่า ฝรั่งเศสเพิ่งส่งไม้ก๊อกมาให้อังกฤษ ก็ตอนปี 1780 เข้าไปแล้ว มาในรูปของฝากจุกแชมเปญนั่นแหละ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ก็มี ข้อยืนยันเกี่ยวกับลูกขนไก่ที่ค่อนข้างเหมือนฝาจุก แชมเปญมาก ซึ่งก็คงมาจากการ ที่คนอังกฤษรู้ว่าไม้ก๊อกมีประโยชน์มากอย่างไร แทนที่จะใช้ไม้ที่หนักกว่า แต่ขนไก่ ก็ยังคงเป็น ส่วนประกอบที่สำคัญของลูกขนไก่ มานานนับศตวรรษตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ของการเล่นเกมการแข่งขันชนิดนี้แล้ว

 

ประวัติกีฬาแบดมินตัน1188abad02

              แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การพัฒนาการใช้ขนไก่นั้น คงมาจากการใช้ ปากกา ขนนกของคนในสมัยโบราณด้วย ขณะที่ใช้ทำปากกาส่วนมากจะใช้ขนตรงปีก ของห่าน เพราะมีความยาว และแข็ง แรงกว่าขนนก หรือขนไก่นอกจากนี้ยังสามารถ ตัดให้สั้น หรือนำมาตกแต่งได้มาก จึงเหมาะที่จะนำมาใช้เป็นลูกขนไก่ แล้วก็มีอายุการ ใช้งานใน การเล่นได้นานมาก ด้วย รูปร่างของลูกขนไก่ในสมัยเริ่มแรกนั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะ น่าสนใจมากพสมควร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประโยชน์การใช้งาน ในยุคเริ่ม แรก เพื่อการนำมาวิเคราะห์ในเรื่องแบบของลูกขนไก่ยุคนั้นก็ตามแต่หลักฐาน เริ่มแรกนั้นเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในการเล่นกีฬาที่ต้องใช้แร็กเกตนั้น มีการ เปลี่ยนแปลง เพียงเล็กน้อยจากปัจจุบันเพียงแต่การออกแบบลูกขนไก่ที่ว่านี้ ยังเป็น ปริศนาที่ยัง ไม่มีใครสามารถไขได้ เช่นเดียวกับลูกเทนนิสในยุคเริ่มแรก แม้ว่าวิถี การพุ่งของ ลูกจะแตกต่างกัน ลูกขนไก่ในสมัยนั้น นิยมใช้เล่นกันกลางแจ้ง และเป็น ลูกบอลขนนกบางทีก็ไม่มีน้ำหนักมากนัก ทำให้ลูกปลิวตาม ลมไกลเกินไป ยากแก่การ ตามเก็บ ทำให้มีคนพยายามที่จะออกแบบลูกขนไก่แบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการตีโต้ ได้ดีขึ้นให้จงได้ จากบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของลูกขนไก่ซึ่งพบที่แบดบินตันเฮ้าส์ ที่ประทับ ของดุ๊กส์ แห่งบิวฟอร์ด ในศตวรรษที่ 17 และเป็นสถานที่ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกการแข่งขัน ชนิดนี้ในเวลาต่อมาพบว่าเกมในยุคนั้น ยึดถือเอาการตีโต้โดยไม่ให้ลูกตกดิน ระหว่าง ผู้เล่นทั้งสองให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางทีระยะการลอยของลูกก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ต่อกติกา และจากบันทึกภายในครอบครัวนั้น พบว่ามีผู้หญิงซึ่งเป็นสมาชิก 2 คน สามารถตีโต้กันได้นานถึง 2,000 ครั้ง โดยที่ลูกไม่ตกลงพื้น ในช่วงปี 1860 มีการถก เถียงกันในกลุ่มนักตีลูกขนไก่ทั้งหลาย เพื่อค้นหาวิธีการเล่นที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้ เชือกขึงตรงกลาง แล้วก็ใช้วิธีตีโต้ข้ามเชือกไปมา แต่ยังไม่มีการกำหนด เขตแดนอยู่เหมือนเดิม กีฬาแบดมินตันในยุคเริ่มแรกก็เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยรับความนิยมอย่าง มากจากเด็ก และผู้ใหญ่ มีลูกขนไก่แบบโบราณซึ่งอยู่ในสภาพ ดีเป็นจำนวนมาก ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่แบดมินตันเฮ้าส์ มีทั้งรูปร่างและขนาดแตกต่าง กันออกไป แต่ก็ล้วนแล้วแต่ใหญ่และหนักกว่าลูกขนไก่ในปัจจุบันมาก มีกำมะหยี่หุ้ม ที่ฐาน และผูกริบบิ้นสีสวยเอาไว้ บางอันก็มีขนห่านติดอยู่ซึ่งอาจจะเอามาจากขนปากกา แต่ส่วนมากทำจากขนไก่ ลูกขนไก่เหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาอย่างดี แต่คน ที่ได้เห็น คงไม่รู้หรอกว่า กว่าจะเอามันมาเล่นโต้กันได้นี่ ยากลำบากแค่ไหน ในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 19 เริ่มมีกฎกติกาในการเล่นเป็นแบบแผน และมีการตกลง กันอย่างเป็น ทางการ มีการกำหนดขนาดและรูปร่างของสนามในการเล่น จำนวน ผู้เล่นในแต่ละฝ่าย รวมทั้งขนาดและน้ำหนักของลูกขนไก่การกำหนดเหล่านี้เริ่ม เป็นรูปเป็นร่างในที่สุดแต่เกมการแข่งขันยังยึดที่จะเล่นกันในกลาง แจ้งเกือบตลอด ทุกครั้ง เกมการแข่งขันลูกขนไก่อันน่าสนุกนี้ ได้รับการเผยแพร่ไกลออกไป จนถึงอินเดีย ช่วงที่ยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ โดยเจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษ และภรรยาเป็น ผู้ นำการเล่นนี้มาเผยแพร่ลูกขนไก่ที่ผลิตในอินเดีย มักจะทำขึ้นในบริเวณที่ มีการเล่นเป็นงาน ศิลปะเสียเป็นส่วนใหญ่ ใช้ไม้อ่อนหรือไม้ก๊อกอย่างหยาบเป็นฐาน และใช้ขนไก่ ซึ่งทำให้การ ลูกไม่ตรงเท่าที่ควร คนทำลูกขนไก่ส่วนมากต่างก็มีแนวความคิดในการออกแบบของ ตัวเอง ว่าจะต้องดีที่สุด อย่างลูก ขนไก่อันหนึ่งซึ่งทำขึ้นในปี 1865 ถูกเก็บรักษาอย่างดีเอาไว้ใน พิพิธภัณฑ์ ใช้ขนไก่ 36 อัน ยาวอันละ 4 นิ้ว และมี ความกว้าง 5 นิ้วครึ่ง แต่ไม่มีการเย็บรอบ ๆ ขนเพื่อควบคุมการพุ่งของลูก ทำให้ลูกพุ่งได้ไม่ไกลนัก ที่ฐานคลุม ด้วยกำมะหยี่ และเย็บเอาไว้ อย่างเป็นระเบียบ และผูกด้วยเชือกอีกทีหนึ่ง น้ำหนักของลูกขนไก่ลูกนี้มากกว่าหนึ่ง ออนซ์ ใน ขณะที่ลูกขนไก่ในปัจจุบันหนักแค่ 1/5 ออนซ์เท่านั้นเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันคงจะเป็นลูก ขนไก่ที่มี ประสิทธิภาพมากในยุคนั้นเพราะยังไงเสียมันก็เป็นหลักฐานแสดงว่าได้รับเป็นลูก ขนไก่ที่ใช้ในการประกวดการผลิตลูก ขนไก่ ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในบรรดาลูกขนไก่ที่มี น้ำหนักมากกว่าทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีลูกขนไก่อีกอันหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์เดียวกัน มีขนไก่ 19 อัน ความยาว 3 นิ้ว มีฐานเป็นไม้ก๊อก พื้นเรียบ มีริบบิ้นผูกติด เอาไว้ด้วย แล้วก็เป็นลูก ขนไก่ซึ่งนิยมใช้เล่นกันมากในช่วงปี 1920 ด้วย ต้องนับว่า เรายังโชคดีกว่าคนสมัยก่อนมาก ที่ไม่ต้องออกแรงหวดลูกขนไก่ที่หนักมากอย่างใน สมัยก่อน เพราะไม่งั้นคงมือโตกันไปตาม ๆ กันก่อนแน่ มีช่วงหนึ่งที่คนเล่นในสมัย ก่อนประสบปัญหาที่ว่าแผ่นหนังที่หุ้ม battledore ของ ตัวเองนั้น มีเสียงดังเกินไป ในเวลาเล่น และไม่แข็งแรงพอที่จะทานน้ำหนักที่หนักมากของ ลูกขนไก่เลยทำให้ คนพยายามคิดค้นการใช้เส้นเชือกมาขึงเอาไว้บนเฟรมไม้ตี ตอนแรกนั้น ยังเป็นแค่ เส้นหนังที่ขึงเป็นเส้น ๆ เรียงกัน จนกระทั่งมีคนคิดค้นวิธีการนำเส้นเอ็นมาใช้ แทน การใช้เอ็นขึงบนไม้เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในรอยัลเทนนิส ในฝรั่งเศสกีฬาที่มีการก่อตั้งขึ้น ในยุคนั้น แล้วก็ดูเหมือนว่าคนจะคิดใช้ประโยชน์จากเส้นเอ็นสำหรับเครื่องดนตรี เท่านั้นเอง ก่อนที่จะมีการนำมาใช้กับแร็กเกตโดยเฉพาะ มีการบันทึกเอาไว้ว่าการ นำเอาเส้นเอ็นมาขึง บนไม้ตีแบดในอังกฤษเป็นครั้งแรก อยู่ในช่วงปี 1880 หลังจากที่พวกสโมสรชั้นสูงมีการคิด ค้นกันขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นที่ยอมรับกัน เพราะมันยืด หยุ่นได้ดีกว่าหนัง และมีอายุการใช้ งานนานเป็นที่น่าพอใจด้วย แล้วก็ช่วงนั้นอีกเหมือนกัน ที่มีคนพยายามจะผลิตลูกขนไก่ให้ ได้มาตรฐาน เพื่อให้มีน้ำหนักเบาขึ้น และให้ขนที่แผ่ออก มานั้นมีวงแคบลง เพื่อจะได้ตีได้ไกล เพิ่ม มากขึ้น พบว่าคอร์ตบางแห่งมีความยาวถึง 55 ฟุต และอาจจะยาวเพิ่มมาก ขึ้นไปอีกแล้ว แต่ความเหมาะสมอย่างเช่น การเล่นคู่ที่ต้องการให้ สะดวกมากที่สุด การพัฒนาทั้งเกมการเล่น และลูกขนไก่เองนั้น เริ่มเกิดขึ้นโดยพวกนาย ทหารอังกฤษที่ประจำการในอินเดีย การเล่นแบดมินตันจากการเผยแพร่ของ พวกเขาทำให้ มันกลายเป็นที่นิยมในอินเดียอย่างแพร่หลาย และการเล่นกันใน กลางแจ้งก็ถือว่าเป็นเรื่อง ที่ธรรมดาเพิ่มมากขึ้น บางที่ก็มีการเล่นกันใน อินเตอร์ โดยเฉพาะในค่ายทหาร เชื่อว่ากฎ เกณฑ์หยาบๆ ในการแข่งขันนั้น มีขึ้นที่เมืองปูนา ในช่วงปี 1874 แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียด เกี่ยวกับเรื่องลูกขนไก่ และระยะเขตแดนอย่างไร หลัง จากนั้นไม่นาน ในปีเดียวกัน สโมสร ทหารก็ได้รับ การก่อตั้งขึ้นที่เมืองฟอล์คสโตน ในอังกฤษ ซึ่งใกล้กับป้อมชอร์นคลิฟฟ์ และ เมืองปอร์ตสมัธ9721_51w

       เชื่อว่ามีการเริ่มเล่นอย่างแพร่หลายโดยพวกทหารทั้งพวกที่ กำลังจะไปประจำการ และพวกที่ ถูกปลดประจำการแล้วพวกที่สโมสรอื่น ๆ ก็เอาตามกันบ้าง แต่เกมการแข่งขัน ในอดีตค่อน ข้างจะเป็นการเล่นกันสนุก ๆ ในปาร์ตี้น้ำชาของบ่ายวันเสาร์ มากกว่าที่จะเป็นเกมการแข่งขัน อย่างจริงจัง ลูกขนไก่ที่ใช้ในช่วงนั้น เป็นลูกที่ยังหยาบอยู่มาก และมีการออกแบบที่แตกต่าง กันออกไป ซึ่งก็แตก ต่างกันออกไปในระยะการลอยของลูก แต่ยังเป็นปัญหาสำหรับผู้เล่นอยู่ มีบทความในนิตยสารฉบับหนึ่ง แนะว่าผู้เล่นควร จะใช้ลูกที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งออนซ์ครึ่ง ถึงสองออนซ์ ก่อนที่จะติดขนไก่เข้าไป ควรเอาไปทากาว แล้วก็ร้อยเชือก เป็นตะเข็บเข้าออก เพื่อช่วยยึดขน ตามความคิดเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญนั้นวิธีการนี้จะทำให้ลูกขนไก่ทนทาน มากยิ่งขึ้น และลอยได้ไกลขึ้นด้วย เป็นหลักฐานยืนยันว่าลูกขนไก่ ในสมัยนั้นลอยได้ไกลมาก กว่าลูกขนไก่ในปัจจุบันเสียอีก

ในปี 1893 สมาคมแบดมินตันแห่งอังกฤษก่อตั้งขึ้น และการ แข่งขันแบดมินตันออลอิงแลนด์ก็ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก ในปี 1899 นช่วงนั้นเองที่ลูกขนไก่ เริ่มมีมาตรฐานเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับสโมสรที่ก่อตั้งกัน ขึ้นมาใหม่มากมาย แม้ว่าจะ ไม่มี รายละเอียดอะไรมากนัก ลูกขนไก่คุณภาพดีของยุคนั้น บางส่วนผลิตในฝรั่งเศสที่ซึ่งกีฬา แบดมินตันมีการเล่นอยู่ใน บางปี ลูกขนไก่ที่ผลิตขึ้นนั้นมีชื่อว่า “บาร์เรล” เพราะมีลักษณะ เหมือนถึงใช้ขนไก่กันอยู่เหมือนเดิม โดยการสอดเข้าไปในไม้ก๊อก และเอาด้านเรียบของ ขนออกด้านนอก เรียงรอบไม้ก๊อกเป็นวงกลมเหมือนกับรูปถังไม้ ทำให้มันถูกเรียก เช่นนั้น ลูกขนไก่เหล่านี้ส่วนมากเย็บตะเข็บติดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก และเย็บรอบ ๆ ยอดของก้านขนที่ฐาน มีการบันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการเย็บรอบขน เพื่อ ยึดให้แน่น และไม่มีการบันทึกว่าผู้ผลิตเป็นครั้งแรกนี้มี ชื่อว่าอะไร แม้ว่าเขาจะทำให้ลูกขนไก่ได้คุณภาพ และรูปร่างมาตรฐานแล้ว มีการออกแบบสร้างลูกขนไก่อย่างแน่นอนขึ้น แม้ว่าน้ำหนักลูกจะยัง ไม่ใช่สิ่งสำคัญอยู่ เหมือนเดิมก็ตาม ช่วงนั้นที่ฐานของลูกคลุมเอาไว้ด้วย หนังชามัวส์ฝรั่งเศส อย่างดี ส่วนตรงขนก็ทำจากขนไก่ ซึ่งมีความทนทานไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นอีกสองสามปี ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ขนส่วนปีกของห่านแทนเพราะมันกลายเป็นตำรับอาหาร ชั้นเลิศของชาว ฝรั่งเศสอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมาก เป็นไปได้ที่ลูกขนไก่ที่ทำ จากขนห่าน รุ่นแรกก็มาจาก ฟาร์มเหล่านี้ ทำให้มันกลายเป็นลูกขนไก่ที่มีคุณภาพ มาก แล้วก็ถูกนำไปใช้ ในโรงงานทำ ลูกขนไก่อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมาเลิก ใช้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง

ในช่วงที่เพิ่งเริ่มมีการแข่งขันใหม่ๆ ในอังกฤษ บรรดาผู้เข้า แข่งต่างก็พากันมีปัญหา กับการลอยของลูกขนไก่บาร์เรลกันมาก ยังมีลูกขนไก่ แบบนี้เหลืออยู่ในปัจจุบันบ้าง เล็กน้อย เมื่อนำมาทดสอบระยะการลอยของลูก ซึ่งสร้างในปี 1911 ปรากฏว่าลูกพุ่งไป ได้ 55 ฟุต ในการตีด้วยแรงธรรมดาของ ผู้เล่น ในขณะที่ลูกขนไก่ในปัจจุบัน พุ่งไป ได้ 42 ฟุต ดังนั้นคงพอสรุปได้ว่าการ แข่งขันในยุคนั้นคงจะเร็วและหนักหน่วงมาก เพื่อการทำให้ลูกไปตกที่เส้นท้าย คอร์ตตลอดเวลา ลูกขนไก่บาร์เรลถูกใช้ในการ แข่งขันออลอิงแลนด์ครั้งแรกด้วย แต่อายุการใช้งานของมันค่อนข้างสั้น แล้วมันก็มี ระยะการลอยไม่เท่ากัน จึง ไม่ใช่ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด

ในปี 1909 หลังจากที่สมาชิกของสมาคมแบดมินตัน แห่งอังกฤษมีการปรึกษาหารือ กันลูกขนไก่ชนิดใหม่ซึ่งเป็นต้นแบบของลูกขนไก่ ที่ใช้ในปัจจุบัน ก็ถูกนำมาใช้ใน การแข่งขันแทนลูกขนไก่แบบใหม่นี้ ผลิตใน อังกฤษโดย เอฟ.เอช. อายเรส ขนที่ ใช้ก็ยังเป็นขนห่านเหมือนเดิม แต่ติดขนด้าน เรียบไว้ด้านใน เพื่อการเย็บให้โค้ง ตามรูปขนนกที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ลูกขน ไก่เหล่านี้ทำด้วยมือทั้งหมด ไม้คอร์กที่ ใช้ก็เป็นไม้คุณภาพดีที่ใช้กับจุกไวน์ชั้น หนึ่ง ถูกทำให้เป็นรูปโดมด้วยเครื่องกลึง และครอบอีกครั้งด้วยหนังอย่างดี การผลิตค่อย ๆ พัฒนาต่อไปช้า ๆ ในแต่ละปี สำหรับใช้ในการแข่งขันแบดมินตัน ออลอิงแลนด์จนถึงปี 1938

เคยมีใครถามคุณไหมว่า"ความรักคืออะไร"

8 

เคยมีใครถามคุณไหมว่า “ความรักคืออะไร”  053

>เมื่อรักหมายถึงห่วงใย
>เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"
>ผมคิดว่าวันนี้ผมมีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ
>คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"
>หากคุณคิดที่จะบอก รัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน
> ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?
>ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ
>หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร
> แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย
>เพื่อเอาใจ...
>นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ
>ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง
>หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืน ถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง
>เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก
> ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น... นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
>ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว
>หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย
>หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจ
>แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไปPB_1_19371
>ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย
>หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมา
>แสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน
> ทั้งๆ ที่ยังไม่หายโกรธ... นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
>หากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลัง
>เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ.. นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ
>คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้าง
>หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
>ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า "ถึงหรือยัง" "ปลอดภัยดีไหม" "เหนื่อยไหม"
>หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญ ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน
> มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้
> และโทรมาบอกว่า "โชคดีนะ" "ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"
>หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
>ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า "ขับรถดีๆนะ"
>หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ
>ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ
>ความใส่ใจ กับ ความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน
>คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่
>ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน
>แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่
>ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน
>ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน
>คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคน เพียงแต่วันนี้
>คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง

f

การเมือง








ความหมายของการเมือง








ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ มุมมองที่ใช้พิจารณาการเมืองหรือพูดเป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือแนวการศึกษาวิเคราะห์การเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ใครจะเห็นว่าแนวการมองการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมือง และด้วยตัวแบบที่เป็นกรอบในการศึกษาวิเคราะห์นี้ จะยังผลให้กรอบการมองคำว่าการเมืองต่างกันไป ในขณะที่สาระสำคัญของคำจำกัดความเป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเป็นเรื่องของการใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ดังจะได้ยกมากล่าวถึง ซึ่งสำหรับผู้ศึกษารัฐศาสตร์มือใหม่แล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่าการเมืองนั้น จึงดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนอยู่มิใช่น้อย เนื่องมาจากความหมายของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในตำราเล่มต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นเผยแพร่นั้นมีอยู่หลากหลายต่างกันไปตามความเจตนารมณ์และมุ่งประสงค์ในการนำความหมายของการเมืองเพื่อไปอธิบายปรากฏการณ์ของผู้ให้คำนิยามความหมายของการเมือง ดังได้กล่าวไปแล้ว
คำจำกัดความของการเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุดโดยนัยที่ได้กล่าวไปนี้ พิจารณาได้จากทัศนะของชัยอนันต์ สมุทวณิใกล้เคียงต่อการอธิบายความเป็นการเมืองได้มากที่สุด โดยคำว่า “การเมือง” นี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายช (2517, 61) ที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับกับผู้ถูกบังคับเสมอ
ผู้เรียบเรียงได้รวบรวมและประมวลคำนิยามหรือความหมายของคำว่าการเมือง มานำเสนอโดยจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยคำนิยามของการเมืองในเชิงอำนาจที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากได้แก่นิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม
อีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และการใช้อำนาจทางการเมือง โดยที่อำนาจทางการเมืองหมายถึง อำนาจในการที่จะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และ อำนาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวการมองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็นแนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน ก็มักให้คำนิยามของการเมืองว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง โดยคำนิยามเช่นนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (development program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นความรู้หนึ่งที่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยสมควรสั่งสมให้แก่พลเมืองของรัฐ เพื่อประโยชน์เป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นักรัฐศาสตร์บางท่านมองว่า แท้จริงนั้น การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการต่อสู่แย่งชิงกันของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ในอันที่จะแย่งชิงกันเข้าสู่อำนาจการบริหารประเทศ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ผลผลิตจากระบบการเมือง (Political Outputs-ผลผลิตของระบบการเมือง เป็นคำศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ตามทัศนะของอีสตัน (David Easton) นักรัฐศาสตร์อเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของแนวคิดทฤษฎีการเมืองเชิงระบบ (the Systems Theory) อันได้แก่ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ โครงการหรือแผนงานพัฒนาของภาครัฐและภาคราชการ ซึ่งผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนมากที่สุด เราเรียกการวิเคราะห์การเมืองแนวทางนี้ว่าเป็น การวิเคราะห์เชิงกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งดูไปก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของแนวการมองการเมืองเชิงอำนาจที่จะกล่าวถึงต่อไป ความหมายของการเมืองในมุมมองนี้ จึงเป็นว่า การเมืองการเมืองคือการที่บุคคลใดหรือกลุ่มใดในสังคม ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือขัดกันก็ตาม หรือมีความเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ตาม มาทำการต่อสู้เพื่อสรรหาบุคคลมาทำหน้าที่ในการปกครองและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะให้เขาสามารถตัดสินใจในเรื่องของส่วนรวมได้โดยชอบธรรม ซึ่งจัดเป็นแนวที่นักรัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Scientist) นิยมกัน
กลุ่มที่สอง มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคม ดังเช่นมุมมองของอีสตัน (David Easton) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า การเมือง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The authoritative allocation of values to society) ความหมายของการเมืองดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสำนักพหุนิยม (Pluralism) อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2535, 4-5) อธิบายว่า เราจะใช้ความหมายการเมืองดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันสิ่งที่มีคุณค่าเท่านั้น ส่วนในสังคมที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกำหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ชัยอนันต์ อธิบายว่า การเมืองยังคงเป็นเรื่องของการแข่งขันกันเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปันคุณค่าที่ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ หรือ “The competition for the authority to determine the authoritative allocation of values to society” โดยนัยเช่นนี้ การเมืองจึงมีสองระดับ ระดับแรก การเมืองอยู่ภายใต้การแข่งขัน ขัดแย้งของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองที่ทุก ๆ ฝ่ายยอมรับได้ ในขณะที่การเมืองในความหมายอย่างแรกดังทัศนะของนักคิดกลุ่มพหุนิยมที่ได้กล่าวไปแล้ว ดูจะยอมรับในจุดเน้นว่ารัฐ เป็นการรวมกันหรือประกอบกันของกลุ่มหลากหลายในสังคม และรัฐมิได้เป็นเครื่องมือทางการบริหาร โดยที่มิได้เป็นตัวกระทำทางการเมือง (actors) ที่จะชี้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่รัฐเป็นเพียงรัฐบาล (State as government) ที่ทำหน้าที่เพียงเอื้ออำนวยความสะดวกในการแข่งขันกันของกลุ่มหลากหลายเท่านั้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2535, 6)
นอกจากนี้ คำนิยามการเมืองในกลุ่มที่สอง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่ ทัศนะของลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่า ใคร ทำอะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is, who gets “What”, “When” and “How”)
กลุ่มที่สาม มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่มากว่า หากไม่อาจยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึงมีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้ง
กลุ่มที่สี่ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดแย้งจากการดำเนินงานทางการเมืองที่ไม่มีทางออก
กลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรมหลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และการอำนวยการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นการควบคุมให้มีการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว การเมืองโดยนัยยะความหมายประการนี้ เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับการเมืองในความหมายเชิงอำนาจ ซึ่งก็เป็นเพราะอำนาจทางการเมืองนั้น ได้ถูกนำไปใช้ผ่านกระบวนการนโยบายและการแต่งตั้งคัดสรรผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ (ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ในรูปของอำนาจและการปฏิบัติงานทางการปกครอง และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารหรือการปกครองที่ยากจะแยกออกจากกันได้
กลุ่มที่หก การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ กล่าวคือ การเมืองคือกิจกรรมใดใดที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย หน่วยงานและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย โดยนัยหนึ่ง การเมืองก็คือกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐ นั่นเอง






แนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการเมือง



เราอาจเคยสงสัยและตั้งคำถามว่า เหตุใดมนุษย์จึงต้องปกครองกัน ทำไมไม่ปล่อยให้มนุษย์อยู่กันเอง กระทั่งอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า การเมืองกับการปกครองเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหลายคนจำเพาะในกลุ่มผู้ที่ขาดความสนใจต่อความเป็นมาเป็นมาในกิจการทางการเมืองอาจฟังดูไม่กระจ่างนัก ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวประการใด
คำตอบต่อความสงสัยข้อแรกนั้นโยงใยไปถึงความข้อต่อมากล่าวคือ มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกัน หากมิได้กำหนดกติกาอะไรสักอย่างขึ้นมากำกับการอยู่รวมกันของมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ด้วยกันเองยังเชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ป่าเถื่อน ขลาดกลัวและไม่เป็นระเบียบดังที่
โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ได้เคยกล่าวไว้ในผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องชื่อเรื่อง “Leviathan” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 ว่า เมื่อมนุษย์จำต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้ว ก็จำเป็นอยู่ในตัวเองที่จะต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น
และโดยนัยที่มนุษย์จำต้องปกครองกันนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเลี่ยงมิได้เสียที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง อันมีความหมายและบริบทที่สะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมืองการปกครองซึ่งเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Eulau 1963, 3) จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (Developmental Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นเรื่องภาคราชการทั้งหลายต่างรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทย และหากได้มองย้อนไปถึงแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น
อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์ นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวัน

หนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข

มหาวิทยาลัย ~ สวยงายอร่ามตา =[]=






มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ABAC









สวยดีแท้ อะร๊าอร่าม   143




 

            มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (Assumption University) หรือ เอแบค (ABAC) มหาวิทยาลัยเอกชน ในเครือคณะภารดาเซนต์คาเบรียล มี 3 วิทยาเขตตั้งอยู่ที่เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการและ city campus ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญยังเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยที่มีระบบการสอนหลักสูตรนานาชาติ













 

 

 

ประวัติ

       มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พัฒนามาจาก "โรงเรียนอัสสัมชัญพานิชยการ" ซึ่งก่อตั้งในปี พ.ศ. 2512 และได้รับวิทยฐานะเป็น "โรงเรียนอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ" ในปี พ.ศ. 2515 สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ย้ายสังกัดมาอยู่ทบวงมหาวิทยาลัยโดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ ) " หรือ Assumption Business Administration College ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเอแบค (ABAC) และเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 ได้รับการเลื่อนวิทยฐานะเป็นมหาวิทยาลัย และได้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ" โดยมหาวิทยาลัยได้ใช้ตัวอักษรย่อในภาษาไทยว่า มอช. และภาษาอังกฤษว่า "AU" ซึ่งทำให้อักษรชื่อย่อของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญมีความสัมพันธ์ กับสัญลักษณ์ทางเคมี คือ Au (ทองคำ)

 

สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

 

สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

ชื่อมหาวิทยาลัย : "อัสสัมชัญ" เป็นชื่อที่มีประวัติความเป็นมา และความหมายดังนี้ แรกเริ่มคุณพ่อกอลเบอต์ใช้ชื่อภาษาฝรั่งเศส "Le Collège de L' Assomption" และใช้ชื่อภาษาไทยว่า "โรงเรียนอาซมซานกอเลิศ" (Assumption College) แต่ปรากฏว่าคนทั่วไปมักจะเรียก และเขียนชื่อโรงเรียนผิดเสมอ ดังนั้น เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2453 ภราดาฮีแลร์ (หนึ่งในเจษฎาจารย์ทั้งห้าที่เดินทางมาช่วยรับช่วงดูแลโรงเรียนอัสสัมชัญกรุงเทพฯ ต่อจากคุณพ่อกอลเบอต์) จึงได้มีหนังสือไปถึงกรมศึกษา กระทรวงธรรมการ ขอเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "อาศรมชัญ" ดังนั้นชื่อ "อัสสัมชัญ" จึงเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2453 เป็นต้นมา ซึ่ง "อัสสัมชัญ" มีความหมายในภาษาไทยดังนี้ "อัสสัม" เป็นคำบาลีมคธว่า "อัสสโม" แปลงเป็นไทยว่า "อาศรม" หมายถึง "กุฏิทีถือศีลกินพรต" ส่วนคำว่า "ชัญ" เมื่อแยกตามรากศัพท์เดิมเป็น "ช" แปลว่า เกิด และ "ญ" แปลว่า ญาณ ความรู้ รวมคำได้ว่า ชัญ คือ ที่สำหรับเกิดญาณความรู้ เมื่อรวมทังสองคือ "อัสสัม"และ"ชัญ" เป็น "อัสสัมชัญ" แปลว่า ตำหนักที่สำหรับหาวิชาความรู้

ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย : ต้นอโศก (Ashoka Tree) คือ ต้นไม้สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า พอลิแอลเธีย ลองจิโฟเลีย (Polyalthea longifolia) มีแหล่งกำเนิดในอินเดียและศรีลังกา เหตุผลที่มหาวิทยาลัยเลือกต้นอโศกเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเพราะ

  1. เป็นต้นไม้ที่เขียวอยู่ตลอดเวลา แสดงถึงความสดชื่นร่มเย็น ความคงเส้นคงวาต่อความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ หมายความว่า มหาวิทยาลัยจะมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุพันธกิจ ในการให้การศึกษาที่ดีเลิศ โดยไม่ย่อท่อต่ออุปสรรคใด ๆ
  2. เป็นต้นไม้ที่รูปทรงสวยงาม เหมือนสถูปเจดีย์
  3. เป็นมงคลนาม หมายถึง ไม่มีความทุกข์ความโศก และยังเป็นชื่อของกษัตย์อินเดียผู้ยิ่งใหญ่คือ พระเจ้าอโศกมหาราช ที่สร้างอาณาจักรที่เกรียงไกรให้กับอินเดีย และทนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญสูงสุดในยุคนั้น
  4. เป็นต้นไม้ที่นำจากอินเดียสู่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยมูลนิธิภราดาคณะเซนต์คาเบรียล โดยนำมาปลูกพร้อมกันครั้งแรกที่ โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และกรมป่าไม้

         แม่พระองค์แห่งปรีชาญาณ หรือ Sedes Sapientiæ (The Seat of Wisdom) ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของมหาวิทยาลัยโดยมีความหมายว่า องค์แม่พระเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัย ที่คอยโอบอุ้มนักศึกษา ซึ่งนักศึกษาเปรียบเสมอองค์พระกุมารประทับนั่งอยู่บนตักของแม่พระ

55d528cb950732297bd327894f200182

คณะ       a5f13794b53d736bc0fa75648a647ec1

  • คณะบริหารธุรกิจ (ABAC School of Management)
  • คณะศิลปศาสตร์ (ABAC School of Arts)
  • คณะนิเทศศาสตร์ (ABAC School of Communication Arts)
  • คณะนิติศาสตร์ (ABAC School of Law)
  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ (ABAC School of Engineering)
  • คณะวิทยาศาสตร์์และเทคโนโลยี (ABAC School of Science and Technology)
  • คณะพยาบาลศาสตร์ (ABAC School of Nursing Science)
  • คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (ABAC School of Architechture)
  • คณะดนตรี (ABAC School of Music)
  • คณะเทคโนโลยีชีวภาพ (ABAC School of Biotechnology)
  • บัณฑิตวิทยาลัยคณะศึกษาศาสตร์ (ABAC Graduate School of Education)
  • บัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (ABAC Graduate School of Information Technology)
  • บัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะบริหาร (ABAC Graduate School of Business)
  • บัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะปรัชญา (ABAC Graduate School of Philosophy and Religion)
  • บัณฑิตวิทยาลัยคณะคณะจิตวิทยา (ABAC Graduate School of Counseling Psychology)
  • วิทยาลัยศึกษาทางไกล ผ่านอินเทอร์เน็ท (ระดับปริญญาโท) (ABAC College of Internet Distance Education )







 85e299eab64bb9ac3ac639d1297fc604        9282570e771eb64af345480ee8a17bb1


มหาวิทยาลัย กรุงเทพ

มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เริ่มแรกนั้นได้รับการก่อตั้งในชื่อ “โรงเรียนไทยเทคนิค” เมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์สุรัตน์ และอาจารย์ปองทิพย์ โอสถานุเคราะห์ ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยกรุงเทพ” และได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น “มหาวิทยาลัยกรุงเทพ” ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2527 โดยจัดการเรียนการสอนใน 9 คณะ รวมทั้ง วิทยาลัยนานาชาติ และบัณฑิตวิทยาลัย ครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ปัจจุบัน เปิดดำเนินการสอน ใน 2 วิทยาเขต ได้แก่ วิทยาเขตกล้วยน้ำไท กรุงเทพมหานคร และวิทยาเขตรังสิต จังหวัดปทุมธานี

ประวัติ

มหาวิทยาลัยกรุงเทพถือกำเนิดขึ้นมาจากการก่อตั้ง "โรงเรียนไทยเทคนิค" ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ ร.ต.อ.สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ (เจ้าของบริษัทในเครือโอสถสภา) โรงเรียนตั้งอยู่ในที่ดินในซอยบ้านกล้วยใต้ ริมถนนพระราม 4 (ปัจจุบัน คือ ที่ตั้งของวิทยาเขตกล้วยน้ำไท) ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นถนนลูกรังอยู่ แต่เป็นย่านค้าขายของเหล่าบรรดานายห้างต่างชาติรวมถึงท่าเรือสินค้าที่คลองเตยด้วย

ต่อมา มีการเปลี่ยนชื่อสถาบันใหม่เป็น "วิทยาลัยกรุงเทพ" หรือ Bangkok College เนื่องจาก ชื่อเดิมสร้างความสับสนต่อประชาชนทั่วไปที่คิดว่าเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษา การจัดการศึกษาของโรงเรียนในสมัยแรก ๆ ไม่ได้รับการรับรองจากทางราชการไทย เนื่องจากเป็นวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกที่เปิดสอนในระดับปริญญา ผู้บริหารโรงเรียนจึงได้ขอความร่วมมือทางวิชาการจาก มหาวิทยาลัยแฟรลีดิกคินสัน (Fairleigh Dickinson University) จากสหรัฐอเมริกา ในการรับรองวิทยฐานะของปริญญา โดยในสมัยนั้นผู้ที่ศึกษาจบการศึกษาจากวิทยาลัยกรุงเทพจะได้รับปริญญา 2 ใบ คือ จาก วิทยาลัยกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยแฟรลีดิกคินสันด้วย[1]

เมื่อวิทยาลัยกรุงเทพเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยมากขึ้น การขยายตัวก็มีขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ก็มีการเกิดขึ้นของวิทยาลัยเอกชนอีกหลาย ๆ แห่งไม่ว่าจะเป็น วิทยาลัยการค้า วิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ การแข่งขันของสถาบันการศึกษาเอกชนเริ่มมีมากขึ้น ผู้บริหารจึงมีโครงการที่จะขยายและยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้รับการอนุญาตจากทางราชการไทย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2527 วิทยาลัยกรุงเทพจึงได้รับการยกฐานะจากทางราชการไทยให้เป็น "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2527[2]

มหาวิทยาลัยกรุงเทพได้มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว การขยายตัวนี้นำมาซึ่งการเปิดวิทยาเขตแห่งใหม่ที่รังสิต จังหวัดปทุมธานี ห่างจาก ท่าอากาศยานกรุงเทพ ไปตามถนนพหลโยธิน 14 กิโลเมตร ภายในพื้นที่กว่า 400 ไร่ ซึ่งผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยมีความหวังที่จะสร้างวิทยาเขตรังสิตให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีบรรยากาศเหมือนมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่ชานเมือง มีสวน มีต้นไม้ มีทะเลสาบ และมีอาคารที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ด้วยความห่างไกลความเจริญของรังสิตในสมัยนั้น มหาวิทยาลัยกรุงเทพวิทยาเขตรังสิตถูกขนานนามว่าเป็น กระท่อมปลายนา จากการเรียกของนักศึกษา

สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

ตราประจำมหาวิทยาลัย

สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยฯ (2527-2547)

มหาวิทยาลัยกรุงเทพใช้รูปเพชร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยมาโดยตลอดตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้ง แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบมาแล้วหลายครั้ง โดยในรูปแบบดั้งเดิมนั้น เรียกว่า เพชรในชัยพฤกษ์ ซึ่งเป็นตราที่ประกอบไปด้วยรูปเพชร และล้อมรอบด้วยช่อชัยพฤกษ์ แต่ปัจจุบัน (ตั้งแต่ปีการศึกษา 2548) มีการเปลี่ยนแปลงตรามหาวิทยาลัยใหม่ แต่ยังคงเป็นรูปเพชร ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะความทันสมัยมากขึ้น และเพิ่มเติมสีสัน เพื่อให้สื่อความหมายต่างๆ มากขึ้นด้วย

ที่มาของตรามหาวิทยาลัยรูปเพชรนั้น แท้จริงแล้ว มีที่มาจากชื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยคือ อาจารย์สุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ คำว่า สุรัตน์ แปลว่า แก้วอันประเสริฐ ซึ่งก็คือ เพชร นั่นเอง การนำเพชรมาเป็นตรามหาวิทยาลัย จึงเป็นการให้เกียรติ และเป็นการระลึกถึงผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาแห่งนี้นั่นเอง นอกจากนั้น เพชรยังสื่อความหมายถึงคุณค่า และความแข็งแกร่ง และมหาวิทยาลัย เปรียบเสมือนสถานที่เจียรไนนักศึกษา ให้กลายเป็นเพชรที่มีเกียรติ มีคุณค่า มีความมั่นคงแข็งแกร่ง และเป็นที่ยอมรับในสังคม

สีประจำมหาวิทยาลัย

ที่มาของสีสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนั้น จากหลักฐานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แต่เดิมมหาวิทยาลัยใช้ สีเขียวอมฟ้า เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จาก ปกเสื้อครุยของบัณฑิตรุ่นแรก ๆ ที่เป็นสีเขียวอมฟ้า และจากเพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัย ที่ยังคงมีเนื้อร้องว่า ธงเขียวเชิดให้เด่นไกลนานเนาว์ มาจนถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาใช้ สีม่วง และ สีแสด เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยการเปลี่ยนแปลงสีประจำมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเป็นเกียรติกับสองบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากสีม่วงเป็นสีประจำวันเสาร์ และสีแสดเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี

ต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย

ต้นชัยพฤกษ์ เป็นต้นไม้มงคลที่ใช้ในพิธีการมงคลตามความเชื่อของคนไทย นำมาใช้เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงปลูกต้นชัยพฤกษ์ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารฝั่งทิศใต้ ของอาคารหอสมุดสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ นับเป็นพระกรุณาธิคุณและเป็นมิ่งขวัญของชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่ต้นชัยพฤกษ์แห่งมิ่งมงคลนี้ จะหยั่งรากลึกลงในหัวใจของชาวมหาวิทยาลัยกรุงเทพสืบต่อไป

เพลงประจำมหาวิทยาลัย

เพลงประจำมหาวิทยาลัย ที่ใช้ในพิธีการและโอกาสต่างๆ นั้น มีทั้งเพลงมาร์ช และเพลงความรู้คู่ความดี เป็นเพลงที่ใช้มาตั้งแต่มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ลักษณะคำร้อง ทำนอง และแนวดนตรี จึงเป็นไปในลักษณะย้อนยุค

คณะและวิทยาลัย

ตราสัญลักษณ์คณะต่างๆและความหมาย

School logo.png



ความสัมพันธ์กับสถาบันต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยมีความสัมพันธ์กับสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ทั่วโลกเป็นอย่างดี นำมาซึ่งความร่วมมือและการสนับสนุนทางด้านวิชาการรวมทั้งด้านวัฒนธรรมในโครงการต่างๆ เช่น โครงการแลกเปลี่ยนคณาจารย์และนักศึกษา โครงการศึกษาดูงาน ตลอดจนการพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านการบริหารมหาวิทยาลัยระหว่างผู้บริหารระดับสูงมหาวิทยาลัยกรุงเทพเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ที่ได้รับเชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ (International of University Presidents IAUP) ซึ่งในปี 2527 ดร.เจริญ คันธวงศ์ อธิการบดีกิตติคุณ ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ และดร.ธนู กุลชล อธิการบดีได้รับเลือกเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปี

ในด้านการพัฒนาคุณภาพเกี่ยวกับการเรียนการสอนและบุคลากร หรืออาจารย์ผู้สอน มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนในด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดีเด่นของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อาทิ